ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล [email protected] |
เผยแพร่ |
ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นทั้งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ในขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 15 และเป็นตลาดนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 การค้าระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 39,395.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 12.97%
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 การประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC) ครั้งที่ 6 ที่ประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเป้าหมายการค้าของ 2 ประเทศ เป็น 140,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564 (จาก www.prachachat.net)
แต่กว่าจะมาเป็นมิตรภาพมูลค่าหมื่นล้านในวันนี้เราผ่านอะไรมาบ้าง
43 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่นับจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 นั้น ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายไว้ในบทความชื่อ มิตรภาพจีน-ไทย (ในเอกสารสโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา 23 กุมภาพันธ์ 2558) ว่าทางการจีนเรียกว่า “การฟื้นฟู” ความสัมพันธ์ทางการทูต เพราะสำหรับจีนความสัมพันธ์มิเคยขาดหาย จะมีก็แต่หยุดชะงัก
ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ยังกล่าวอีกว่า “ไทยกับจีนมีประวัติศาสตร์กันมาช้านาน กล่าวเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ ความสัมพันธ์นี้ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษขึ้น เมื่อไทยมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ทำให้ระบบไพร่ที่เป็นพื้นฐานเศรษฐกิจมาแต่เดิมต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบพาณิชยกรรม
นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับไทยก็คือ การยุติระบบไพร่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และสำหรับจีนก็คือ มีแรงงานจีนนับแสนคนเข้ามายังไทยเพื่อใช้แรงงานแทนพวกไพร่
แต่ที่ลักลั่นขัดแย้งกันเองของปรากฏ การณ์นี้ก็คือว่า ไทยได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตแบบบรรณาการกับจีนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว ในระหว่างนี้หากจะมีสิ่งใดยึดโยงความสัมพันธ์น่าจะมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกไทยกับจีนยังคงทำการค้าด้วยกันเช่นเดิม เรื่องต่อมา ชาวไทยกับชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามายังไทยมีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมากขึ้นจนถึงขั้นผูกพันเป็นครอบครัว”
นอกจากนี้ ท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยก็คงทราบว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนดำเนินการโดย “คณะทูตใต้ดิน” ตั้งแต่ปี 2498 ในการประชุมกลุ่มประเทศเอเชียและแอฟริกาที่เมืองบันดุง อินโดนีเซีย กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบปะสนทนากับ นายโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน จึงรับทราบถึงนโยบายและท่าทีที่เป็นมิตรของจีน
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์รายงานเรื่องนี้ให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทราบ รัฐบาลไทยจึงเห็นควรให้เปิดสัมพันธไมตรีกับจีน แต่สมัยนั้นอเมริการะแวงไทยมาก จึงเห็นควรว่า จำเป็นต้องส่งคณะทูตไปอย่างลับๆ แบบใต้ดิน
คณะทูตดังกล่าวมีทั้งหมด 4 คน ได้แก่ 1.นายอารี ภิรมย์ อดีตข้าราชการกรมโฆษณาการที่มีความรู้ภาษาจีนกลางและแต้จิ๋ว ทั้งมีเพื่อนฝูงเป็นคนจีนจำนวนมาก เป็นหัวหน้าคณะ 2.นายกรุณา กุศลาศัย นักหนังสือพิมพ์ ที่มีความรู้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ 3.นายอัมพร สุวรรณบล ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเสรีประชาธิปไตย 4.นายสอิ้ง มารังกุร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย
คณะทูตใต้ดินได้เข้าพบกับ ประธานเหมาเจ๋อตง และ นายโจวเอินไหล ที่พระราชวังจงหนานไห่ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2498
หลังจากนั้น 20 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีนอย่างเป็นทางการจึงเกิดขึ้น
ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย กับ นายโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
หากความสัมพันธ์ในช่วงแรกก็ไม่ราบรื่นนัก
อะไรเป็นอุปสรรคของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค้นคว้าของฝ่ายจีน ฝ่ายไทย ฯลฯ เขียนอย่างงานวิชาการที่หนักแน่นด้วยข้อมูลและอรรถรส ไว้ในบทความชื่อว่า “ความสัมพันธ์ไทย-จีนในยามยาก : คึกฤทธิ์ รัฐประหาร 6 ตุลา และธานินทร์ (ค.ศ.1975-77/พ.ศ.2518-20)” ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนตุลาคม 2561
รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล เสนอว่า การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนปี 2518 ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศไทย ในสภาวะที่ไร้ทางเลือก
เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้น 3 คณะ ได้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม กิตติขจร ดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเป็นมิตรกับผู้นำโลกเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา และต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียตและจีน เช่น ส่งทหารไทยไปร่วมสงครามเกาหลีเพื่อขับไล่กองกำลังเกาหลีเหนือ, อนุญาตให้สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพในไทยและส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในอินโดจีนระหว่างปี 2504-18 ฯลฯ
แต่สถานการณ์พลิกผัน เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากสงครามเวียดนามในปี 2516 ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจในลาว, กัมพูชา และเวียดนามสำเร็จ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงตัดสินใจเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ซึ่งเป็นเวลาที่สถานการณ์ภายในประเทศของไทยก็ร้อนแรงอย่างยิ่ง
การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” ทำให้บุคคลระดับผู้นำประเทศด้านต่างๆ และปัญญาชนสายอนุรักษนิยมของไทยเกิดความวิตกกังวลว่า การเปิดความสัมพันธ์กับจีนจะเป็นช่องทางให้พวกฝ่ายซ้ายในสังคมไทยเข้มแข็งมากขึ้น
เช่น นายบุญชนะ อัตถากร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ (ปัจจุบันคือกระทรวงพาณิชย์) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ฉบับวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ว่า “ผมต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย หากจะเป็นคอมมิวนิสต์ก็ขออีกสัก 40-50 ปีก็แล้วกัน”
การเลือก ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่งคนแรก ก็ด้วยคลายความกังวลดังกล่าวของสังคมไทยเช่นกัน โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ให้เหตุผลว่า “คุณชายเป็นเชื้อพระวงศ์ คงไม่เป็นคอมมิวนิสต์”
ขณะที่รัฐบาลจีนแต่งตั้งให้นายไฉเจ๋อหมินเป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนแรก โดยได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อถวายอักษรสาส์นตราตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2519
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์ “6 ตุลา 19” นักศึกษาถูกสังหารหมู่ในธรรมศาสตร์ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ทำการรัฐประหารโดยให้เหตุผลว่าเกิดภัยคุกคามจาก “จักรวรรดินิยมคอมมิวนิสต์” ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคเผด็จการขวาจัดของรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่มีทัศนคติในด้านลบกับลัทธิคอมมิวนิสต์
ความสัมพันธ์ไทย-จีนที่เพิ่งสถาปนาได้เพียงปีเศษเกิดการชะงักงัน
รัฐบาลธานินทร์เรียก ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี กลับมารับนโยบายใหม่ที่สั่งว่า “ท่านทูตก็อยู่เมืองจีนต่อไป แต่ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ”
มกราคม 2520 รัฐบาลประกาศห้ามคณะผู้แทนรัฐบาลเดินทางไปติดต่ออย่างเป็นทางการกับประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนภาคเอกชนต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน อย่างสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งกระจายเสียงจากมณฑลหยุนหนานของจีนเรียกร้องให้ชาวไทยผนึกกำลังกันโค่นล้มระบอบเผด็จการของรัฐบาลธานินทร์ และสร้างประเทศไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย
แต่นั่นมิใช่จีนไม่หวังปรับปรุงความสัมพันธ์กับไทยแต่อย่างใด
หลังปี 2518 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนามเริ่มตกต่ำลง และเวียดนามก็เอียงเข้าหาสหภาพโซเวียตมากยิ่งขึ้น ทำให้จีนเห็นความสำคัญของประเทศไทยในทางยุทธศาสตร์ที่จะช่วยคานอิทธิพลของสหภาพโซเวียตและเวียดนามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่จีนให้การสนับสนุนอยู่จะยึดอำนาจรัฐไทยได้สำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับทำอย่างไรให้รัฐบาลไทยไม่ว่าจะเป็น “ขวา” หรือ “ซ้าย” มีท่าทีเป็นมิตรกับจีน นี่คือภารกิจสำคัญที่ไฉเจ๋อหมินได้รับมอบหมาย
ทั้งหมดที่กล่าวนี้คือเนื้อหาบางส่วนที่ผู้เขียน (รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล) ขอท่านผู้อ่านได้โปรดติดตามเนื้อหาทั้งหมดได้ใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนตุลาคมนี้
ว่ามีอะไร หรือใครบ้าง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ชะงักงันกลับมาราบรื่นอีกครั้ง