ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ และ อุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
เผยแพร่ |
ชื่อเสียงของอำเภออมก๋อยในปัจจุบันอาจจะคุ้นหูคนทั่วไปในฐานะของแหล่งปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าชั้นเยี่ยม แต่หากย้อนกลับไปเมื่อราวเกือบๆ 40 ปีที่แล้ว เทือกเขาในเขตอมก๋อยเป็นแหล่งลักลอบขุดหาบรรดาเครื่องถ้วยสังคโลกของไทย เครื่องลายครามจีน และลูกปัดจากหลุมฝังศพบนยอดดอยที่มีอยู่นับรวมๆ แล้วน่าจะหลายร้อยถึงพันหลุม ชุมชนหลายแห่งเป็นทั้งแหล่งจัดหาและรับซื้อแหล่งใหญ่ จนแทบจะเรียกว่าเศรษฐกิจในแถบนี้เฟื่องฟูเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
แม้ว่าสภาพปัจจุบันของเนินดินฝังศพในพื้นที่นี้จะแทบไม่เหลือเค้าดั้งเดิมจากการขุดหาสมบัติกันอย่างเข้มข้น แต่ร่องรอยของหลุมลักขุด เศษภาชนะข้าวของที่แตกหักและไม่มีราคา และการสัมภาษณ์ชุมชนในท้องถิ่นก็ทำให้เราพอมองเห็นเค้าลางของอดีตอันรุ่งเรืองของชุมทางการค้าโบราณบนเทือกเขาแห่งนี้ ซึ่งสัมพันธ์กับบ้านเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย เชียงใหม่ และพม่า
อมก๋อย แหล่งเครื่องถ้วยชั้นดีในหลุมศพ
ถ้าใครเคยไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ม.กรุงเทพ และพิพิธภัณฑ์เอกชนอีกหลายๆ แห่งจะพบว่าเครื่องถ้วยชามสังคโลก ล้านนา และจีนชั้นดีราคาแพง ที่บางใบมีราคาหลักล้านนั้น ส่วนหนึ่งมีแหล่งที่มาจาก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
คำถามสำคัญคือ ทำไมเครื่องถ้วยชั้นดีจึงไปพบที่นั่น?
ในช่วงสมัยล้านนาหรือสุโขทัยนั้น พื้นที่บนภูเขาของเทือกเขาถนนธงชัยมีกลุ่ม “ชาวเขาโบราณ” อาศัยอยู่ กลุ่มชนพวกนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผี แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับศาสนาพุทธเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการติดต่อกับรัฐในพื้นที่ราบ หรือเมืองในหุบเขาที่อยู่ใกล้เคียงกัน
เราไม่รู้ว่าศาสนาหรือความเชื่อของพวกเขาเรียกว่าอะไร แต่คงนับถือผี เพราะมีพิธีกรรมการบรรจุอัฐิผู้ตายลงในไห และอุทิศเครื่องถ้วยชามชั้นดี ลูกปัด และอาวุธให้กับผู้ตายด้วย โดยทั้งหมดจะฝังอัฐิของผู้ตายไว้บนยอดเขาสูง
ไม่ห่างจากยอดเขาฝังศพ ยังพบว่ามีพิธีกรรมความเชื่อหลังความตายด้วยการทำเนินดินรูปวงกลมไว้บนยอดดอยสูง เท่าที่พบ ยอดดอยที่เป็นเนินดินรูปวงกลมมักจะตั้งอยู่บนทำเลหรือ “ฮวงจุ้ย” ที่โดดเด่น สูง และสามารถมองวิวได้โดยรอบ
คำให้การจากนักลักลอบขุดบอกว่า เนินประเภทนี้มักไม่พบเครื่องถ้วยที่สวยงาม บางครั้งเลยเรียกกันว่า “ชามข้าวหมา” เครื่องถ้วยพวกนี้มักฝังที่กึ่งกลางของเนิน มีบ้างที่ฝังในพื้นที่รอบๆ เนิน ถึงจะมีข้อมูลจากคำให้การอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เนินแบบนี้ได้พบไหที่บรรจุอัฐิหรือไม่
อย่างไรก็ดี เป็นไปได้สูงว่าชาวเขาโบราณพวกนี้ มีความเชื่อเรื่องฟ้าหรือสวรรค์ เพราะฝังศพบนยอดเขาสูง และ เนินดินรูปวงกลมนี้คงเป็นลานพิธีเพื่อใช้ส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่เมืองฟ้า
โดยประเพณีการฝังศพในเนินดินรูปวงกลมของชาวเขาโบราณนี้ ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ 2 พันปีจนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นอย่างน้อย
ในขณะเดียวกันรูปแบบของการฝังศพบนยอดเขาที่เราสำรวจพบนี้ก็ไม่สามารถเหมารวมว่าเป็นรูปแบบเดียวได้ บางแห่งก็เป็นเนินดินรูปวงกลม บางแห่งก็เป็นเพียงเนินดินไร้รูปร่างตายตัว บางแห่งก็มีเพียงหลักหินปักไว้ ทำให้เราเชื่อว่ารูปแบบของเนินดิน และตำแหน่งที่พบแตกต่างกันนี้เองบ่งบอกว่ามีคนหลายวัฒนธรรมหรือหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันในเขตอมก๋อย
ดอยแบแล ความสัมพันธ์ระหว่างผีกับพุทธ
“วัฒนธรรมเนินดินรูปวงกลม” ไม่ได้พบเฉพาะที่อมก๋อย แต่พบไปทั่วภาคเหนือ ภาคตะวันตก เรื่อยไปจนถึงภาคกลางซีกตะวันตก ทว่าที่ อมก๋อยมีความพิเศษกว่าที่อื่นอยู่อย่างหนึ่งคือ ใกล้กันกับเนินดินรูปวงกลมและแหล่งฝังศพบนยอดเขา มักพบวัดเก่าและเจดีย์ขนาดเล็ก-ใหญ่ อยู่ไม่ห่างกันด้วยเสมอ
ที่ดอยแบแล ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ และเป็นแหล่งปลูกกาแฟอมก๋อยด้วยนั้น ความจริงแล้ว ในสมัยโบราณ ดอยนี้ถือว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เพราะบนยอดเขาเต็มไปด้วยแหล่งฝังศพและเนินดินรูปวงกลม บางเนินมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 เมตร โดยพบอยู่ที่ชั้นความสูงระดับ 1,200-1,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ความคิดเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้เรายังคงสามารถสืบค้นได้จากชาวเขาในปัจจุบันหลายๆ กลุ่มที่ยังมีเรื่องเล่าและความเชื่อเกี่ยวกับภูมิทัศน์สำคัญรอบตัว เช่น ชาวกะเหรี่ยง และชาวลัวะ
ดอยแบแลเองก็มีคุณสมบัติที่เข้าข่ายจะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเป็นยอดเขาที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลจากหุบเขาของตัวเมืองอมก๋อย รวมไปถึงหมุดหมายกำหนดทิศทางในการเดินทางของคนในท้องถิ่นซึ่งยังคงสืบทอดมาในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นต้นน้ำอีกด้วย
ส่วนในระดับชั้นความสูงที่ต่ำลงมาของยอดเขาแบแลได้พบวัดโบราณ ซึ่งคาดกันว่าเป็นศิลปกรรมแบบล้านนา
แหล่งฝังศพ เนินดินรูปวงกลม และวัดนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างขัดเจน เพราะจากการสำรวจได้พบเศษภาชนะเคลือบ หรือที่เรียกกันว่าเครื่องถ้วยในยุคเดียวกัน ได้แก่ เครื่องถ้วยจากเตาล้านนา (เช่น เวียงกาหลง และสันกำแพง) เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง และสังคโลกจากสุโขทัย กำหนดอายุคร่าวๆ อยู่ระหว่าง พ.ศ.2000-2200
ดังนั้น จะว่าไป ดอยแบแลจึงไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ หากแต่ยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์โบราณคดีสำคัญที่ควรพัฒนาในอนาคต
แม่ตื่น เมืองปลายทางของเส้นทางการค้าบนภูเขา
คำถามต่อมาที่เราพยายามตั้งกันคือ ทำไมจึงพบเครื่องถ้วยชั้นดีมากมายในเขตอมก๋อย
ที่เมืองแม่ตื่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของอำเภออมก๋อย เดิมทีเป็นเมืองล้านนาขนาดใหญ่ มีแม่น้ำตื่นซึ่งไหลไปเชื่อมต่อกับแม่น้ำปิง และถ้าข้ามเทือกเขาไปทางทิศตะวันตกก็จะสามารถเดินทางไปยังชุมชนบนที่สูงในเขตบ้านแม่ระเมิงที่เราไปสำรวจกันมาก่อนหน้า และเมืองโบราณแม่ต้านที่ริมน้ำเมย อ.ท่าสองยาง หรือสามารถเลือกที่จะไปยังแม่สอดได้
ระหว่างการสำรวจนี้เองเรายังพบชุมชนโบราณในยุคสมัยเดียวกันนี้ในพื้นที่หุบเขา หรือที่ราบระหว่างหุบเขาเล็กๆ ก่อนถึงหัวน้ำของลำน้ำสาขา กระจายอยู่ใกล้ๆ กับชุมชนที่อยู่ตามแนวเทือกเขา ทำให้พอมองเห็นภาพได้ว่าการไหลเวียนของสินค้านี้น่าจะมีจุดกระจายสินค้าขนาดย่อยที่อยู่บริเวณต้นน้ำในแนวเทือกเขา
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่บนภูเขาของเขตแม่ตื่นเองได้พบกับหลุมฝังศพบนยอดเขาเช่นกัน
คณะสำรวจของเราโชคดีที่ได้พบกับนายก อบต.แม่ตื่น นายจำลอง ปันดอน ซึ่งอดีตเป็นพ่อค้าวัว ครู และเคยสะสมเครื่องถ้วยที่ได้จากบนยอดเขาไว้อีกด้วย ปัจจุบันเครื่องถ้วยเหล่านั้นก็นำมาจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของ อบต.แม่ตื่น ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ อีกทั้งยังเพื่อให้ความรู้กับคนในท้องถิ่นและประชาชนทั่วไปได้เข้าไปเยี่ยมชม
จำลองได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดถึงข้อมูลเส้นทางการเดินเท้าในยุคเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว เมื่อยังไม่มีเส้นทางรถตัดผ่าน ซึ่งก็ดูเหมือนจะซ้อนทับกันได้ดีกับเส้นทางการค้าสมัยโบราณ และลักษณะของหลักฐานที่พบในหลุมฝังศพ
จำลองได้เล่าว่า ที่หลุมฝังศพพวกนี้มักพบก้อนหินปักตั้งไว้ด้วย ซึ่งหินที่นายจำลองว่านี้ก็คือ หินตั้งปักหลุมฝังศพ ที่เป็นพิธีกรรมความตายดั้งเดิมของคนในอุษาคเนย์ และอาจเกี่ยวข้องกับชาวลัวะโบราณด้วย
จากประสบการณ์การเดินเท้าเพื่อค้าวัวในวัยหนุ่มของคุณจำลอง ซึ่งมีโอกาศลัดเลาะเสาะหาเส้นทางจากแม่ตื่นไปจนกระทั่งถึงตัวเมืองท่าสองยางและเทือกเขาโดยรอบ ทำให้สันนิษฐานว่าเมืองโบราณในแม่ตื่นคือชุมชนทางการค้าที่สามารถเดินทางติดต่อไปยังเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่สอด ท่าสองยาง แม่ระเมิง และฮอด
ตามเส้นทางที่กล่าวมา พวกเราพบว่าแหล่งฝังศพบนยอดเขาบางเส้นทางนี้นั้นพบหลุมฝังศพตลอดแนวเขาคือ เส้นทางเชื่อมระหว่างแม่ตื่น-แม่ระเมิง ดังนั้น หลุมฝังศพบนยอดเขานี้จึงเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่ใช้สืบเนื่องมาจนถึงเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
จิบกาแฟอมก๋อยแท้ๆ แล้วแวะเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์โรงเรียนอมก๋อย
ถ้าใครคิดจะหากาแฟอมก๋อยแท้ๆ ดื่มสักแก้ว หน้าโรงเรียนอมก๋อยวิทยาคมมีร้านกาแฟของโรงเรียน ซึ่งเม็ดกาแฟนั้นได้มาจากแปลงปลูกต้นกาแฟหลังโรงเรียน โดยเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนรู้จักการปลูกกาแฟและมีรายได้เป็นของตัวเอง
แต่โรงเรียนนี้ไม่ได้มีดีแค่กาแฟเท่านั้น หากแต่ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องถ้วยและโบราณวัตถุต่างๆ ที่ได้มาจากเนินดินรูปวงกลม แหล่งฝังศพ โบราณสถาน และแหล่งโบราณคดีอื่นๆ อีกด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ติดกับสนามกีฬาของโรงเรียนมีชื่อว่าอาคารศูนย์ศึกษาวัชรสกุณีประสิทธิ์
ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีและทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นก็คือ ครูธีระเดช เรือนแก้ว และ ครูประภาพรรณ สุภา นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นผู้ที่สำรวจแหล่งโบราณคดีในเขตอมก๋อยเป็นจำนวนมากอย่างทุ่มเท อีกทั้งยังเป็นผู้ที่นำทางและให้ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เขียนทั้งสองอีกด้วย
น่าเสียดายที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังไม่มีนิทรรศการที่พร้อมสำหรับการเปิดให้เข้าชมอย่างถาวร อันเนื่องจากภาระหน้าที่ของครูและนักเรียน และยังต้องการความช่วยเหลือทั้งข้อมูลและกำลังทรัพย์อีกมาก ซึ่งหวังว่าหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ และเอกชนจะให้การสนับสนุน เพื่อ พัฒนาให้พิพิธภัณฑ์หรือศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้กลายเป็นคลังความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีให้กับชาวอมก๋อย ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวได้เข้าใจอมก๋อยในมิติอื่นที่ไม่ได้มีดีเฉพาะกาแฟและวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงเท่านั้น