ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | อธิษฐาน จันทร์กลม |
เผยแพร่ |
ลดผลกระทบเชิงลบ เพิ่มผลกระทบเชิงบวก และมุ่งพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
คือ พันธสัญญาความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้าทั่วโลกในศตวรรษที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจในประเด็นดังกล่าวอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จึงจับมือ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย พาคณะครู เยาวชน และตัวแทนชุมชนที่ชนะเลิศการประกวดโครงงานในการลดภาวะโลกร้อนจากกิจกรรม “โตโยต้า ลดเมืองร้อนด้วยมือเรา” ปีที่ 14 บินลัดฟ้าไปทัศนศึกษาเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9-15 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น “เมืองสีเขียว” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
กิจกรรม “โตโยต้า ลดเมืองร้อนด้วยมือเรา” เป็นหนึ่งในโครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว เพื่อธรรมชาติ เพื่อทุกชีวิต” ซึ่งดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ด้วยความมุ่งหวังสร้างจิตสำนึกให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขและเปิดโอกาสให้โรงเรียน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั่วประเทศ จัดทำแผนงานส่งเข้าประกวดเพื่อรณรงค์การลดภาวะโลกร้อนภายในชุมชนของตน ซึ่งครอบคลุมทั้ง 5 ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1.การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 2.การจัดการขยะอย่างครบวงจรและเหมาะสม 3.การประหยัดพลังงานไฟฟ้าและใช้พลังงานทดแทน 4.การเดินทางอย่างยั่งยืน และ 5.การอนุรักษ์น้ำ
จากจำนวนผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในครั้งล่าสุด ถึง 80 โครงการ ผ่านการคัดเลือกจนได้ผู้ชนะทั้งสิ้น 6 โครงการ แบ่งเป็นประเภทโรงเรียน 3 โครงการ และประเภทชุมชน 3 โครงการ
ผู้คว้าชัยในการแข่งขันระดับโรงเรียน รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้รับถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ โรงเรียนวัดตโปทาราม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ส่งโครงการ “Eco ตโปทาราม ตามศาสตร์พระราชา ลดภาวะโลกร้อน” โดดเด่นด้านการบูรณาการเรื่องการจัดการขยะและลดภาวะโลกร้อนไปสู่ศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมโยงการเสริมทักษะเรื่องอาชีพและหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษา
ตามมาด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านน้ำมิน อ.เชียงคำ จ.พะเยา จากโครงการ “น้ำมินร่วมใจลดเมืองร้อนด้วยมือเรา” ซึ่งนำเสนอการจัดการขยะอย่างครบวงจรโดยการพึ่งพาตนเอง บูรณาการสู่การเรียนการสอน เพื่อสร้างจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า และน้ำ
ปิดท้ายที่โรงเรียนศรีธาตุพิทยาคม อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จากโครงการบริหารจัดการขยะควบคู่กับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนสู่ห้องเรียนธรรมชาติบ้าน วัด โรงเรียน ที่ชนะใจกรรมการด้วยแนวทางการบริหารจัดการขยะควบคู่กับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแบบมีส่วนร่วมระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน บูรณาการสู่หลักสูตรท้องถิ่นวิถีคนพื้นเมืองอีสาน
มาถึงประเภทชุมชน ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้รับถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ ชุมชนบ้านสันป่าบง เทศบาลตำบลหงาว อ.เทิง จ.เชียงราย ซึ่งนำเสนอ “โครงการรักษ์ป่า รักษ์พลังงาน และบริหารจัดการขยะ ที่ชุมชนบ้านสันป่าบง” โดยมีความเด่นชัดในด้านการจัดการพื้นที่สีเขียวเชื่อมโยงกับการจัดการขยะและพลังงาน เพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้งและปากท้องของชุมชน ต่อยอดองค์ความรู้สู่ฐานเรียนรู้และเส้นทางศึกษาธรรมชาติในชุมชน
ในขณะที่รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ตกเป็นของ ชุมชนบ้านรางพลับ เทศบาลตำบลกรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
จากการดำเนินกิจกรรม “โครงการนวัตวิถีรางพลับ…สู่การลดโลกร้อนอย่างยั่งยืน” โดยมีการจัดการขยะที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนสู่การเป็นชุมชนปลอดขยะได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ชุมชนบ้านศรีจอมแจ้ง เทศบาลตำบลหงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา เป็นผู้คว้าชัยจาก “โครงการศรีจอมแจ้ง ต้นแบบชุมชนสีเขียว ร่วมลดเมืองร้อน” ซึ่งชูแนวทางการรักษาป่า ดิน และน้ำ เชื่อมโยงให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของคนในชุมชน
สอดคล้องกับแนวคิด “เมืองสีเขียว เพื่อธรรมชาติ เพื่อทุกชีวิต”
โดยกลุ่มตัวแทนจากชุมชนบ้านศรีจอมแจ้ง เล่าว่า กว่าจะมาเป็นต้นแบบเมืองสีเขียวได้นั้น ไม่ง่าย ด้วยเป็นชุมชนทำการเกษตรที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาขาดน้ำ เนื่องจากพื้นที่ป่าไม้จำนวนมากถูกตัดเพื่อเพิ่มพื้นที่การเกษตร ที่ยิ่งมากขึ้น แหล่งน้ำก็ยิ่งไม่เพียงพอ ยังมีปัญหาขยะ อีกทั้งปัญหาหมอกควัน อันเกิดจากการเผาเศษวัชพืชหลังเก็บเกี่ยว และหมอกควันจากเพื่อนบ้าน นี่คือ 3 ปัญหาหลัก ที่ก่อให้เกิดความร่วมมือกันในชุมชน ก่อนจะก้าวเข้าร่วมโครงการ “ลดเมืองร้อนด้วยมือเรา” เพื่อให้ชุมชนและชุมชนใกล้เคียงร่วมสอดส่องดูแลสิ่งแลดล้อมอย่างจริงจัง
และกระตุ้นเตือนชุมชนรอบๆ ว่า “ถึงเวลาแล้วที่ชุมชนจะต้องหันมาแก้ปัญหาสิ่งเหล่านี้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
“คณะกรรมการทำงานของเรา คือ ผู้นำชุมชนในพื้นที่ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็นฝ่าย ฝ่ายหนึ่งดูแลเรื่องพื้นที่สีเขียว ตั้งแต่การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในการตรวจตรา เดินป่า เพื่อสำรวจ ป้องกัน และดูความหลากหลายทางชีวภาพ ฝ่ายขยะ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแม่บ้าน และ กลุ่ม อสม. เรื่องของพลังงาน มีกลุ่มพ่อบ้าน ทั้งจากกระทรวงพลังงาน และจากจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วมเป็นวิทยากร เรื่องใช้ไฟอย่างไรให้ประหยัด การเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า การทำเตาเศรษฐกิจ ที่ใช้เศษกิ่งไม้ นำฟางหลังเก็บเกี่ยวไปหมักทำปุ๋ย ส่งผลให้ 3-4 ปีมานี้ ไม่มีการเผาฟางซึ่งเป็นต้นเหตุของฝุ่นควันและภาวะโลกร้อน
ส่วนเรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการลดใช้พลังงาน ชุมชนตั้งเป้าว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะต้องลดคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ได้อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ผ่านมาเพียง 4 เดือน ก็นับว่าทะลุเป้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนผู้นำชุมชนบ้านศรีจอมแจ้งร่วมเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า “เราคือชุมชนแรกของตำบล ที่มี ป่าชุมชน เป็นของตัวเอง ถึง 547 ไร่”
“เราต้องการรักษาป่านี้ให้ดีที่สุด เพราะมีหลายชุมชนที่อยู่รอบข้าง บางชุมชนทำสวนยางลุกล้ำป่า ด้วยความเป็นห่วงจึงขอขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชน เราห้ามตัดต้นไม้ ขอให้ผู้ลุกล้ำส่งคืนและปลูกต้นไม้ฟื้นฟู โดยส่วนใหญ่จะเน้นปลูกต้นไม้พื้นถิ่น ทั้ง ยางนา มะค่า พะยูง ไผ่ ต้นมะขามป้อม แต่ถ้าเป็นหัวไร่ปลายนาของชาวบ้าน ก็จะหาต้นไม้ให้ปลูก เกิดต้องการใช้หรือขาย ก็สามารถตัดได้ทันที ในการเก็บของป่าก็มีแยกแยะว่าอะไรเก็บได้และไม่ได้ เพื่อให้คนใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะป่านี้เป็นต้นทางของอาหาร ถ้าป่านี้หาย-วิถีชีวิตเปลี่ยน”
อีกส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนส่งเสริมกัน คือแนวคิดเรื่อง “พลังงานทดแทน” ซึ่งชุมชนบ้านศรีจอมแจ้ง มีการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อใช้กับปั๊มน้ำประปาของหมู่บ้าน ซึ่งใช้ไฟฟ้าประมาณ 5 เมกะวัตต์ ในช่วงกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะใช้ไฟจากแสงอาทิตย์ ซึ่งจากการจดบันทึกในแต่ละเดือน พบว่าใช้ไฟเฉลี่ย 2,200 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้สูงถึง 5,000 บาท
“ตอนนี้ได้เปลี่ยนหลอดไฟกลางของหมู่บ้านแล้ว พยายามนำร่องเพื่อให้แต่ละหลังคาเรือนเปลี่ยนมาใช้ตามเพราะเห็นความแตกต่างของค่าไฟแต่ละเดือนอย่างชัดเจน”
นอกจากจะเป็นชุมชนต้นแบบเรื่องป่าไม้และพลังงานแล้ว ยังมีเรื่องของการจัดการขยะ ที่ก็ยืนอยู่ในจุดของชุมชนต้นแบบอีกเช่นกัน
“เมื่อปีก่อน 60 เราก้าวถึงระดับเขต ต้องยกเครดิตให้ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เคยมาทำงานที่ญี่ปุ่น เมื่อกลับไทย ก็ได้เอาประสบการณ์เรื่องความเป็นระเบียบมาใช้กับชุมชน แม้ว่า ณ เวลานั้น เทศบาลยังเก็บขยะตามปกติ และอาคารเรือนหนึ่งก็เสียค่าเก็บขยะเดือนละ 10 บาท ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นว่าไม่ใช่ปัญหา แต่พอปี 2557 ไฟไหม้บ่อขยะที่แพรกษา จึงเป็นชนวนทำให้เกิดการดำเนินการอย่างจริงจัง
“หลังกลับจากหยุดยาวปีใหม่ เราร่วมกันเก็บขยะ จนขยะเหลือ 1 ใน 3 เดิมเก็บอาทิตย์ละครั้ง จาก 300 กก. เหลือเพียง 80-90 กก.
แค่เปลี่ยนนิสัยการทิ้งขยะ เน้นการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ก็สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนอีกทางจากการที่เทศบาลช่วยติดต่อพ่อค้าให้เข้าไปรับซื้อของเก่า ส่วนขยะอินทรีย์ที่มากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ทางชุมชน ก็ให้ทุกหลังคาเรือนทำ ‘เสวียน’ หรือบ่อหมักขยะ เพื่อทำปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน”
นับเป็นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมความเป็นชุมชนข้าวอินทรีย์ได้ครบทุกกระบวนการ
เพียง 3 เดือนถัดมา ชุมชนบอกว่า “เราไม่เอาถังขยะแล้ว เพราะไม่จำเป็น ถ้ามีถังขยะตั้งหน้าบ้าน ก็จะมีคนเอามาทิ้ง ทำให้เน่าเหม็นไปอีก 1 สัปดาห์หน้าก่อนที่รถขยะจะมาเก็บ ทางเทศบาลจึงทำตะแกรงเหล็กประมาณ 1×1 เมตร ให้ไว้สำหรับเป็นที่ทิ้งขยะของชุมชน จากที่รถขยะต้องวิ่งทุกซอยเก็บทุกหลัง ก็เหลือแค่หมู่บ้านละ 3 จุด ที่ต้องไปเก็บ อาจจะเดินไกลบ้าง แต่ทุกหลังคาเรือนก็ยินดีเอาไปวาง ผลคือเทศบาลไม่เก็บค่าขยะ เป็นการต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน เพราะชุมชนช่วยลดจำนวนแรงคนที่มาเก็บขยะ และยังลดค่าน้ำมันในทางอ้อม สามารถต่อยอดกับชุมชนอื่นๆ ใช้เวลา 3 ปี ในการเก็บถังขยะ 780 ถัง ออกจากชุมชน จากเดิมเก็บขยะอาทิตย์ละ 5 วัน ก็เหลือแค่ 2 วัน คือ ผลสุดท้าย ทั้งตำบล ไม่มีถังขยะ”
ผู้นำชุมชนคนหนึ่งยังเปิดเผยความรู้สึกว่า ถือเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่ได้มาเห็นเมืองต้นแบบ สีเขียว และว่า “จะต้องหาจุดเด่นไปใช้กับชุมชนเพื่อเป็นบ้านเมืองสีเขียวอย่างยั่งยืนให้ได้”
นับเป็นกิจกรรมดีๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการกอบกู้โลกใบนี้ให้คงไว้ซึ่งความงดงาม เขียวขจีดังเช่นที่เคยเป็นมา