‘พิณนภา พฤกษาพรรณ’ ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทรงจำในวันที่ ‘บิลลี่’ ไม่อยู่

“ถ้ากลับมาอยู่บ้าน เช้าขึ้นมาสิ่งที่บิลลี่ทำเป็นอย่างแรก คือสอนลูกๆ สอนการบ้าน สอนให้เป็นคนดี สอนให้ทำกับข้าว หลังจากนั้นก็จะทำงาน ความรู้สึกเรา คือในหัวเขาไม่เคยหยุดนิ่ง คิดตลอดเวลา หาทางว่าจะต้องทำอะไรที่ไหนอย่างไรเพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านของเขา ให้ชาวบ้านอยู่ดี กินดี มีสุข”

คือเสียงสนทนา จากความทรงจำ ของ มึนอ หรือ พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของ “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ สามีผู้เสมือนเป็น “ฮีโร่” ของชาวบางกลอย กะเหรี่ยงชาวปะกากะญอ ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังสูญหายที่ฐานครองน้ำผึ้งป่า นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2557 ทิ้งไว้เพียงภาพจำและคำบอกกล่าวสุดท้าย ก่อนเธอจะไม่ได้เห็นหน้าสามีอีก

5 ปี จนวันนี้ ความหวังที่รอคอยของ “มึนอ” เป็นจริง แม้จะปรากฏในรูปชิ้นส่วนกะโหลกของสามีในถังแดง แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ความเป็นไป

จนล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พบพยานหลักฐานมากพอจากพิกัดจุดทิ้งซากรถจักรยานยนต์ของบิลลี่ นำไปสู่การลงพื้นที่เพื่อสืบเสาะหาพยานสำคัญที่สามารถชี้ชัดเพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มคนร้าย ไปจนถึงขั้นตอนเดินหน้าตามตัวเข้าให้การกับดีเอสไอ และรอความชัดเจนจากพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย…

Advertisement

หวังว่าอีกไม่นานนี้ คดีจะคลี่คลาย

ย้อนกลับไป 4 กันยายน วันที่มีโอกาสได้พูดคุยกับ “มึนอ” ที่วิสาหกิจชุมชน ของบ้านป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังวันที่รู้ข่าวคราวของบิลลี่ วันที่ยืนยันว่าต่อไปนี้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าสามีอีก

ทว่า ในความทรงจำของภรรยา ไม่เคยลืม

Advertisement

“แม้ว่าบิลลี่จะช่วยงานในชุมชนมากขนาดไหน แต่ ถ้ากลับมาบ้าน ก็จะทำกับข้าวให้ลูกๆ กิน

ไส้กรอก กล้วยทอด ก๋วยเตี๋ยว ทุกอย่างถือว่าพิเศษหมด เด็กๆ ได้กินอิ่มกันทุกคน ไปซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่มาทอดกินแบบ บุฟเฟต์ เด็กๆ ชอบ ถ้าไม่ซื้อมา ก็ไปตกปลา เก็บหอยลายที่เขื่อนมาต้ม เอาแต่เนื้อมาผัดเผ็ด เด็กๆ ติดใจ จนพ่อเขาหายไป เด็กๆ ก็ยังพูดถึงว่า “ตอนพ่ออยู่ เขาได้กินอะไรๆ แบบอร่อยย อิ่มม ถ้าผัดเผ็ดหอยลาย เด็กๆ จะบอกว่า ‘โคตรอร่อยเลย’ (ยิ้ม)”


“งานปีใหม่ งานลอยกระทง บิลลี่จะกลับมาอยู่บ้าน ไม่ว่าบิลลี่จะไปอยู่ไกลแค่ไหน เขาก็จะกลับมาให้ถึงก่อนเที่ยงคืนของทุกปี กลับมาฉลองปีใหม่ สนุกกับที่บ้าน”

มึนอยังบอกอีกด้วยว่า บิลลี่ชอบสอนลูกๆ สอนสิ่งที่เขาไปเรียนรู้มาจากข้างนอก ว่าต้องเรียนรู้อย่างนี้ ทำอย่างนั้น สอนกระทั่งการบ้านของเด็กๆ

“หนูไม่เก่งคณิตศาสตร์ บิลลี่เขาเก่ง เวลาเด็กๆ เอามาให้หนูสอนก็จะบอกเอาไปให้พ่อสอน เพราะเวลาพ่อสอนเด็กทุกคนจะจำได้ดีมากกว่า”

“บิลลี่เคยบอกว่า เขาอยากทำงานเพื่อสังคมจนกว่าเขาได้เห็นลูกๆ ทุกคนโตกันหมด มีงานทำที่ดี ไม่ต้องมาลำบากเหมือนพวกเรา สิทธิที่ดินทำกิน คือความลำบากชั้นหนึ่งของคนชาติพันธุ์ พอคนบางกลอยต้องขนย้ายลงมา อยู่พื้นที่ที่มันไม่ใช่พื้นที่ของเรา หมู่บ้านโป่งลึกก็ต้องแบ่งพื้นที่ให้คนบางกลอย

ที่ด้านเดิมเรามีที่ดินทำกินที่อยู่เขตอุทยานในหมูบ้านปะกากะญอเป็นที่ดินของพ่อกับแม่ แต่ชาวบ้านไม่กล้าทำเต็มที่ เพราะเวลาเจ้าหน้าที่ไปดูก็จะโดนข้อหาบุกรุกพื้นที่ เป็นปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง”

เป็นข้อที่น่าคิด ตามความสงสัยของ สุรพงษ์ กองจันทึก ที่ว่า “ไทยอาจเป็นประเทศเดียวในโลก ที่คิดว่าคนอยู่ในป่าไม่ได้ ต้องเอาคนออก” พอถูกต้อนลงมาอยู่ข้างล่างก็เป็นปัญหาอีกรูปแบบ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่บาดหมาง แต่คือ “ที่ดินทำกิน ไม่เพียงพอ”

“เจ้าหน้าที่รัฐให้แบ่งที่ดินทำกิน ชาวโป่งลึกไม่ได้คิดว่าเรามาทำให้เกิดความเดือดร้อน เขาคิดว่าปัญหาเกิดจาก ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ เขาก็เห็นใจเรา ส่วนมากเป็นญาติๆ กันหมด ก็ให้อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ก็จะมีบางครั้งเวลาคนบางกลอยออกมาเรียกร้องสิทธิที่ดินทำกิน คนโป่งลึกก็บอกว่า เขาไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิที่ดินทำกิน ถือว่าเขามีที่ดินอยู่แล้ว แต่ว่าถูกยกให้เป็นของบางกลอย” มึนอว่าอย่างนั้น

“ความฝันของบิลลี่ คือ เขาอยากให้คนบางกลอยได้กลับไปอยู่ที่เดิม มันเป็นที่เดิมที่เพียบพร้อม มีสวนของแต่ละคน ทั้งพืช ผลไม้ มีทุกอย่างแล้วที่ปู่ย่าตายายปลูกไว้ให้

ที่ใหม่กับที่เดิมแตกต่างกันมาก มันเป็นพื้นที่ที่แคบ และบางคนได้ที่ดินทำกินแบบไม่สมบูรณ์ ปลูกข้าวแล้วไม่ดี ไม่ขึ้น เขาเอานาขั้นบันไดไปให้ชาวบ้านทำตาม ทั้งๆ ที่ชาวบ้านไม่เคยทำ ชาวบ้านเคยทำแต่ไร่ปีละครั้ง มันเหมือนไปยัดเยียดให้เขาต้องทำทั้งที่เขาไม่ถนัด เขาก็ทำไม่ได้ผลเต็มที่ ที่บิลลี่เรียกร้องมา ถ้าชาวบ้านได้กลับไปอยู่ที่เดิมเขาก็ภูมิใจและพอใจ”


เมื่อถามว่า แล้วความฝันของมึนอเหมือนบิลลี่ไหม? คำตอบที่ได้ สั้น แต่กินใจ “อยากให้ความฝันของบิลลี่เป็นจริง”

“ตอนที่บิลลี่ต่อสู้เพื่อสิทธิ ประโยคที่เขาพูดมากที่สุด คือ เขาเกิดมาเพื่อเป็นคนที่ช่วยแก้ไขปัญหาในสังคมให้คลี่คลาย ให้ทุกคนเข้าใจ เขาบอกในทำนองที่ว่า ‘เกิดมาชาตินี้ชีวิตอุทิศให้สังคมล้วนๆ’ เขาทำดีโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

เขาจะพูดอีกประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้าเขาทำดีเพื่อคนอื่น แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตเขา เขาก็จะทำต่อไป’ จนกระทั่งเขาหายไป”

“เขาเคยมาเล่าให้ฟังว่าเขาไปช่วย ปู่คออี้ เกี่ยวกับสิทธิที่ดินทำกิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่พอใจเขามาก ถ้าหน่วยงานนั้นจับตัวไปได้เมื่อไหร่ ไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมาแน่นอน เขาต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน คือเขารู้ตัว เราก็บอกเขาว่า ถ้ารู้ตัวอย่างนั้น หยุดได้ไหม ไม่ต้องไปทำได้ไหม เขามองหน้า แล้วก็บอกว่า ‘ถ้าเขาทำดีเพื่อสังคม ทำดีเพื่อคนอื่น ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็จะทำ’ ไม่มีคำพูดใดที่จะไปหยุดเขาได้ ก็เลยต้องเงียบ”

นี่คือสิ่งที่ภูมิใจในตัวบิลลี่มากที่สุด คือ ภูมิใจในการทำดีของเขา ไม่ว่าจะกับเพื่อนๆ หรือครอบครัว “พอเขาหายไป มันไม่มีเรื่องร้ายๆ ที่จะให้เราคิด เราจะไปคิดในเรื่องการทำความดีของเขามากกว่า”

มึนอเล่าอีกว่า เวลาบิลลี่ออกมาทำงานเพื่อคนอื่น เด็กๆ ก็เห็นด้วย “เขาบอกก็ดีนะ ช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน”

น่าสนใจว่า บิลลี่เป็นนักปกป้องสิทธิ และมึนอก็ลุกขึ้นมาเป็นนักปกป้องสิทธิในภายหลัง แล้วทั้งคู่เคยรู้สึกอยากให้ลูกได้เป็นนักสิทธิมนุษยชนเหมือนกันหรือไม่ คำตอบที่ได้ สะท้อนเงาของนักสิทธิอย่างยิ่ง

ไม่ได้บังคับ แล้วแต่เขาอยากจะเป็น เป็นอิสระของชีวิตเขา แต่ก็มีคนโต ที่บอกว่าถ้าเขาเรียนจบอยากทำงานด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากที่พ่อเขาหายไป เขาก็อยากเรียนรู้ว่านักสิทธิมนุษยชนทำอะไร เป็นอย่างไรบ้าง ต้องถ่ายรูปอย่างนี้ เวลาเจอกับพี่ช่างภาพ นักข่าวที่สนิท ก็เข้าไปถาม ไปฝึกถ่าย

ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงวัยเด็ก อาจจะคิดอีกแบบ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่เขาอาจจะเปลี่ยนไปคิดอีกแบบ เราไปกำหนดความคิดเขาไม่ได้ ปล่อยไปตามอิสระของเขาที่เขาอยากเป็น”

ปัจจุบัน มึนอมีลูก 5 คน คนโตอยู่ ม.3, คนที่ 2 อยู่ ม.1, คนที่ 3 อยู่ ป.5, คนที่ 4 อยู่ ป.3, คนที่ 5 อยู่ ป.1 แม้จะยอมรับว่า ห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกๆ แต่มึนอก็สอนให้เด็กๆ ดูแลตัวเองให้ได้

“เราบอกเขาว่า ฐานะปัจจุบันเขาไม่มีพ่อนะ ต้องดูแลตัวเองให้เต็มที่ ต้องเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง” มึนอเปิดใจอีกว่า ตอนเป็นแม่อย่างเดียวก็ไม่เหนื่อย เพราะเวลาพ่อกลับมาจะมีกิจกรรมให้ลูกๆ ทำ ทุกคนมีงานเป็นของตัวเอง เช่น กลับมาถึง ต้องกวาดบ้าน คนโต พอทำงานบ้านเสร็จ ต้องอ่านหนังสือ เขาจะแบ่งเป็นช่วงๆ เด็กก็จะทำตาม แต่พอมีแต่แม่ เราต้องคอยเตือนเขาตลอดเวลา เหมือนเขาลืมหน้าที่เขาไป อย่าลืมทำการบ้านนะ ทำเสร็จแล้วไปทำเรื่องส่วนตัวนะ ต้องคอยเตือนตลอด

“พ่อก็ไม่ดุ แต่เด็กๆ แปลก กลัวพ่อมากกว่ากลัวแม่ พ่อพูดทีเดียวเงียบหมด ไม่ส่งเสียง พ่อสอนครั้งเดียวจำได้หมด ไม่ถามอีก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กๆ ถึงเป็นอย่างนั้น นึกในใจ ทำไม เห็นแม่เป็นตัวอะไร เป็นเพื่อนเล่นหรือเปล่า (หัวเราะ) ทำไมเห็นพ่อเหมือนอะไรที่ดุร้ายขยาดนั้น พูดทีเดียว เงียบ ไม่ส่งเสียง สอนทีเดียวจำได้หมด ไม่ถามซ้ำอีก”

เมื่อถามว่า พอต้องบอกลูกๆ หลังจากที่ดีเอสไอได้แถลง ลำบากใจหรือไม่ มึนอบอกว่า ไม่ลำบากใจ

“เด็กๆ ก็ดูข่าวบางครั้งเด็กจะพูดว่า พ่อเขาไปอยู่บนฟ้าบนสวรรค์ ไม่ได้อยู่กับเราบนโลกนี้แล้ว เขาจะพูดเองว่าพ่อเขาไปสบายแล้ว เราต้องบอกเขาว่า ภาพที่เห็นคือตัวอย่างที่ไม่ดีกับสังคม ไม่ต้องเอาไปจดจำ แต่ให้อภัยเขา

“จริงๆ ไม่ได้เป็นคริสต์ เป็นพุทธ แต่ไหว้ทุกที่ ฟังทุกศาสนา ทุกศาสนาก็สอนให้เราเป็นคนดี แต่เราเชื่อและศรัทธาในธรรมะเวลาเกิดทุกข์จะฟังเพลงที่เป็นกำลังใจ ฟังธรรมะกล่อมจิตใจให้ไม่ทุกข์ อะไรที่ทำให้ทุกข์ เราให้อภัยดีกว่าจะเก็บทุกข์นั้นไว้ พี่บิลลี่ก็เป็นพุทธเหมือนกัน แต่ว่าเขาทำพิธีตามบรรพบุรุษ”

“ในครอบครัวและในชุมชนจะไม่บังคับกัน แล้วแต่ว่าใครจะศรัทธา อยากนับถืออะไรก็ได้” เมื่อถามว่า “นับถือภรรยาเป็นหลักได้ไหม” มึนอบอกว่า อันนั้นก็แล้วแต่ความเชื่อส่วนตัว “นับถือเมียก็ดี เมียก็มีหน้าที่ดูแล ซักผ้า หุงข้าวทำกับข้าวให้กิน เก็บเงินให้ คนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยทำมาหากิน จะเอาเปรียบกันไม่ได้ มันก็เหมือนกับสังคมทุกวันนี้ ถ้ามีความเข้าใจกัน มันก็อยู่ร่วมกันได้ ถ้าครอบครัวเข้าใจกันก็อยู่ร่วมกันแบบมีความสุข”

เมื่อถามว่า เคยคิดมาก่อนไหมว่าจะเจอบิลลี่ที่สะพานแขวน มึนอบอกว่า คิดว่าจะเป็นที่อื่นมากกว่า

“แต่ว่ามันก็คิดได้หลายด้าน หลายแง่หลายมุม สุดท้ายก็มาเจอที่ตรงนั้น ไม่เคยคิดว่าจะอยู่ตรงนั้น เพราะพื้นที่ในอุทยานแก่งกระจานมันกว้าง คิดว่าเป็นจุดอื่น ไม่คิดว่าเป็นใต้สะพานแขวน

แต่พอเห็นวิธีการของเขาแล้วรู้สึกในใจแบบ มนุษย์อะไรทำไมทำกันได้ขนาดนี้ จิตใจยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ทำไมถึงทำกันได้ลงคอ ทำไมไม่นึกว่า ถ้าเราทำคนนี้ไปแล้วครอบครัวเขาจะอยู่อย่างไร หรือว่าเขาไม่มีครอบครัว

ความรู้สึกมันขึ้นมาเต็มอก มันแน่นที่อกจนไม่อยากพูด ไม่อยากคุยกับใคร คำถามมันอยู่ในใจ อยากรู้อีกว่ากระบวนการที่ทำ ทำไมถึงต้องทำ บิลลี่ไปทำอะไรให้ถึงต้องเอาชีวิตบิลลี่ไป”

สะพานแขวน ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สถานที่พบกระดูกของบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย

เมื่อลองพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง มึนอก็เชื่อว่า เป็นเพราะบิลลี่เป็นคนคนหนึ่งที่มีเส้นสายและเครือข่ายภายนอก

“ถ้าบิลลี่ถูกจับไปคนหนึ่ง จะไม่มีการช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยอีกต่อไป อันนี้คิดส่วนตัว แต่จริงๆ แล้วอยากรู้ว่าที่เขาทำไปได้เช่นนั้น เขาทำไปทำไม บิลลี่ไปทำอะไรให้เขา

ความรู้สึกส่วนตัวตอนนี้ คือ ความยุติธรรมยังไม่ได้ถึงครึ่ง ยังไม่ไปถึงคนหรือกระบวนการที่ทำบิลลี่ ถ้าถึงขั้นตอนนั้น จะได้ความรู้สึกอีกแบบว่า นี่นะ ความยุติธรรมยังมีอยู่บนโลกนี้ ยังอยู่เข้าข้างประชาชนที่เป็นผู้น้อย”

“ส่วนตัวไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร แต่จะพูดว่า ที่บิลลี่ถูกกระทำ เชื่อว่าเกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ เพราะคนที่อยู่กับบิลลี่คนสุดท้าย เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา คือเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เลยเชื่อว่าเกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐแน่นอน”

ในฐานะนักปกป้องสิทธิ นอกจากความหวังที่คาดไว้ ว่าขอให้เอาคนผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และดำเนินคดี ที่ใหญ่กว่านั้น คือหวังเห็นหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าใจ และยอมรับวิถีชีวิตของชุมชน ชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง และชนเผ่าพื้นเมือง ไม่อยากให้มีอคติกับกลุ่มชาติพันธุ์

“โลกใบนี้พระเจ้าสร้างขึ้นมาให้ทุกคนได้อยู่อาศัย ใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาให้เป็นของคนใดคนหนึ่ง เป็นเจ้าของ ทรัพยากรทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาให้ทุกคนอยู่อาศัยได้ อยากให้เข้าใจและยอมรับวิถี สิทธิชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์”

น้อยคนที่จะรู้ว่า “มึนอ” เคยลงสมัคร ส.ส.กับพรรคกรีน มึนอบอกว่า ในอนาคต ถ้าลงสมัครใหม่แล้วได้รับคัดเลือกไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ความตั้งใจแรก คือจะผลักดันเรื่องนี้

แฟ้มภาพ

“เราแค่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐยอมรับวิถีชุมชนกะเหรี่ยง ชนเผ่าพื้นเมือง เลิกอคติกับคนกะเหรี่ยงที่อยู่ในป่า และให้ทำกินในที่ดินเดิมของเขา เท่านั้นแหละ ปัญหาก็จะคลี่คลาย จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิที่ดินทำกินอีกต่อไป แต่นี่พอชาวบ้านทำไปแล้ว กำหนดไปแล้ว หน่วยงานภาครัฐเข้าไปตรวจสอบ ก็จะอ้างว่าไม่ได้ ไม่ผ่าน อยู่ในพื้นที่เขตสีแดง เป็นปัญหาบานปลายไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วเหลน จะไม่มีวันจบสิ้น”

“ถ้าปัญหาที่ดินยังไม่ถูกแก้ไข มันอาจจะมีปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาอีกภายหลังแบบบิลลี่ก็ได้

สิ่งที่เกิดกับพี่บิลลี่ ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วกับคนอื่นๆ ถ้ามีกฎหมายสักฉบับ เช่น พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหาย ก็น่าจะปกป้องคนที่จะหายในวันข้างหน้าได้

อยากให้ทางรัฐสภา หรือนายกฯ ที่ได้รับการเลือกตั้ง ร่างให้ผ่านไวๆ

อย่างพ่อเด่น (เด่นคำแหล้) พี่บิลลี่ และทนายสมชาย ถ้ามีกฎหมายฉบับนี้อยู่แล้วน่าจะช่วยให้คลี่คลายคดีได้มากกว่านี้” มึนอหวัง แม้จะมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้เชื่อในเรื่องสิทธิมนุษยชนแบบมึนอ หรืออย่างที่นักปกป้องสิทธิพยายามเรียกร้องอยู่ และพวกเขาก็อาจจะมาบอกว่า ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก ลุกขึ้นมาก็มีแต่เจ็บตัว

มึนอทิ้งท้ายว่า “ถ้าได้ตอบคำถามนั้นกับพวกเขา อยากจะบอกว่า เหตุการณ์มันยังไม่ถึงพวกเขา ก็ยังไม่รู้สึก ยังไม่มีจิตใต้สำนึกที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเหตุการณ์ไปถึงเขา เขาคงจะได้รับรู้ และออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเองอย่างแน่นอน”

“บางครั้งเวลาเหนื่อยก็อยากจะพัก ไม่อยากคุยกับใคร แต่ถ้าหายเหนื่อยก็อยากจะเดินหน้าต่อไป

“เพื่อสังคมที่เป็นธรรม”

ในวันที่ ‘บิลลี่’ ยังอยู่


เมื่อถามว่า ตกหลุมรักพี่บิลลี่เพราะอะไร? มึนอยิ้ม ก่อนจะเล่าว่า

“มันเป็นความบังเอิญที่ว่า บิลลี่เรียนอยู่โรงเรียนท่ายางวิทยา ส่วนตัวเองเรียนอยู่โรงเรียนป่าเด็งวิทยา มีงานคริสต์มาสเขาก็มาหาชุดกะเหรี่ยงไปใส่แสดงในงานโรงเรียน เขาก็เข้ามาถามว่า ใช่น้องพี่เด่นไหม เราบอกว่าใช่ หลังจากนั้นเขาก็ออกไปดูงานเกษตรอินทรีย์ข้างนอก ตอนนั้นเขาอกหักพอดี เราบอกว่า ‘ใครหนอ ผู้หญิงคนนั้นคือใครที่ทำให้บิลลี่ต้องอกหักได้’ มันเกิดจากความบังเอิญที่พูดหยอกล้อกัน”

ก็เลยต้องไปดูแลใจแทน?

“ก็เลยติดกัน (หัวเราะ) เขาเป็นคนดีนะ ก็ย้อนคิดไปว่าทำไมที่ผ่านมาแฟนเก่าถึงไม่ชอบเขา พอได้เจอกับแฟนเก่าเขาก็บอกว่า ‘พี่บิลลี่อะเป็นคนดีเกินไป แต่ว่าตัวเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยดี ไม่คู่ควรกับบิลลี่’ เขาก็เลยหลีกทางให้บิลลี่ไป และเขาก็ไปมีคนอื่น”

“ถ้าถามว่าพี่บิลลี่หล่อไหม ก็หน้าตาดีนะ ตอนที่เรียนอยู่ก็มีสาวๆ มาชอบ อันนี้เปรียบเทียบกับคนอื่นที่เจอ มีแล้วก็อยากจะมีคนอื่นอีก แต่สำหรับตัวหนูแล้ว พอนึกถึงหน้าบิลลี่ คนอื่นก็หน้าตาสู้บิลลี่ไม่ได้ (ยิ้ม) มันก็หน้าตาดี นิสัยและกิจกรรมเขาก็ดีทุกอย่าง อันนี้รู้สึกในใจ”

ฟังมุมหวานไปแล้ว ไหนลองให้ภรรยานินทาสามี ว่ามีข้อเสียอะไรที่ไม่ชอบบ้าง

มึนอยังยืนยันหนักแน่นว่า “ไม่มี” ก่อนจะนึกขึ้นได้

“นอกจากว่า เวลาเพื่อนๆ เขามาหา เขาชอบไปซื้อเหล้ามาเลี้ยงเพื่อน และเราไม่ชอบกินเหล้า กินเหล้าแล้วเมายังไงไม่รู้

เขาบอกว่าเหล้าอะ ทำให้มีเพื่อนฝูงเยอะ (ลากเสียง) เราเห็นว่าเป็นข้อเสีย แต่เขาเห็นว่าคือข้อดีที่เข้าสังคมได้

ถามว่าดื่มบ่อยไหม ถ้าเพื่อนไม่มาเขาก็ไม่ดื่ม แต่เพื่อนมาหาเขาเยอะ แม้กระทั่งเพื่อนถูกเมียทิ้งก็มาหา “บิลลี่ไปช่วยตามหาเมียให้หน่อย” (หัวเราะ) ทั้งที่บิลลี่เคยถูกแฟนทิ้งมาก่อน แต่เขาก็ช่วยกันหาจนเจอนะ

มึนอยังเล่าอีกว่า ส่วนมากจะเถียงกับบิลลี่เรื่อง ซื้อลอตเตอรี่ “บิลลี่จะบอกว่า การพนันเป็นสิ่งไม่ดี ผิดกฎหมาย เราก็เถียงกับเขา ไอ้เงินที่เราซื้อ มันเป็นเงินของเรานะ เราไปขายผักได้มาและไปซื้อ เขาก็จะเถียงกับมาว่า นั่นแหละ เงินที่เราไปซื้อมาถ้าเราเก็บใส่กระปุกออมสินไว้มันจะมีเยอะกว่านั้น แต่ทีเขากินเหล้านี่ เขาบอกว่ามันเป็นวิธีเข้าสังคม”

“ถ้าเขากินเหล้า หนูนี่แหละไปเอาเหล้าเขามากินๆๆๆ กินให้หมด แล้วตัวเองเมาซะเอง (หัวเราะ) จะได้ไม่ต้องกิน พอตื่นขึ้นมาเช้าอีกวัน บิลลี่ก็มามองหน้าถามว่า ‘เป็นยังไง คนที่ไปชกคนอื่นอะ คนที่ถูกชกเจ็บไหม หรือว่าคนที่ไปชกเจ็บซะเอง’ เขาลุกขึ้นมาถามแบบนี้”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image