ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล [email protected] |
เผยแพร่ |
บรรดาพระมหากษัตริย์ในอดีต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2098-2148) พระมหากษัตริย์ผู้กู้อิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยา เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์จึงเป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก ในวงกว้าง หลากหลายรูปแบบ รวมถึงบางครั้งก็มีการค้นพบหลักฐานใหม่ หรือข้อโต้แย้งใหม่ที่หักล้างความเชื่อเดิมๆ
เช่นนี้ นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้ ที่นำเสนอบทความเรื่อง “ไขปริศนาวัดร้างอยุธยา : ตอนสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพและบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยู่ที่ไหน อย่างไร และทำไม” โดย กำพล จำปาพันธ์
หากครั้งนี้กำพลไม่ได้พบข้อมูลใหม่ แต่ข้อโต้แย้งของเขามาจาก “การอ่านหลักฐานเก่าด้วยมุมมองใหม่” และเป็นมุมมองใหม่ที่ละเอียดถี่ถ้วน ที่ไม่ละเลยแม้แต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
จากเดิมที่คนส่วนใหญ่มักคิด, รับรู้กันว่า วัดที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ทำพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพและบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคือวัดวรเชษฐ์ ซึ่งในเขตเมืองเก่าอยุธยามีวัด 2 แห่งที่ออกเสียงดังกล่าว หนึ่งคือ วัดวรเชษฐาราม (วัดวรเชษฐ์ในเกาะ) อีกหนึ่งคือ วัดวรเชตุเทพบำรุง (วัดวรเชษฐ์นอกเกาะ)
แต่ดูเหมือนว่ารัฐจะให้น้ำหนักไปที่วัดวรเชษฐารามในตัวเกาะมากกว่า ดังจะเห็นได้จากป้ายข้อมูลหน้าวัดที่หน่วยงานราชการเขียนไว้ว่า
“วัดวรเชษฐาราม เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของพระราชวังหลวง และด้านหลังของพระราชวังหลัง ภายในกำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดนี้ ตามพระราชพงศาวดาร สมเด็จพระเอกาทศรถทรงสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.2136 ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเชษฐาของสมเด็จพระเอกาทศรถได้ยกทัพไปตีเมืองตองอู และขณะเคลื่อนทัพถึงเมืองหาง ทรงพระประชวรหนักและเสด็จสวรรคต
สมเด็จพระเอกาทศรถจึงโปรดให้อัญเชิญพระศพมายังกรุงศรีอยุธยา และให้แต่งพระเมรุสูงเส้น 17 วา แล้วเสด็จไปถวายพระเพลิงพระบรมศพให้นิมนต์พระสงฆ์มาร่วมในพิธีจำนวน 10,000 องค์ เข้าใจว่าได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ วัดวรเชษฐารามแห่งนี้ ภายในกำแพงวัดประกอบด้วย เจดีย์ประธานทรงลังกาแบบสุโขทัย พระวิหารจำนวน 3 หลัง พระอุโบสถ และพระเจดีย์ย่อมุมขนาดเล็ก 2 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน เชื่อกันว่าน่าจะมีการบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ภายในเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งภายในวัดนี้”
พระราชพงศาวดารเองก็บันทึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีไว้ว่า
“พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรฐอิศวร บรมนาถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชโองการตรัสสั่ง แก่ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุข ทั้งหลาย ให้แต่งการพระศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว แต่งพระสุเมรุมาศสูงเส้น 17 วา ประดับเมรุทิศเมรุรายราชวัติฉัตรทอง ฉัตรนาก ฉัตรเบญจรงค์นานาเสร็จ ก็เชิญพระศพเสด็จเหนือมหากฤษฎาธาร อันประดับด้วยอภิรุมกลิงกลดรจนา และท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขลูกขุนทั้งหลาย มาประดับแห่ห้อมล้อมมหากฤษฎาธาร ก็อัญเชิญพระศพเสด็จลีลา โดยรัถยาราชวัติไปยังเมรุมาศด้วยยศบริวารและเครื่องสักการบูชาหนักหนา พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรฐอิศวร บรมนาถบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จไปถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ให้นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาส 10,000 ถวายพระราชทานเครื่องอัฐบริขารทักษิณาบูชาพระสงฆ์ทั้งปวงเป็นมเหาฬาร”
หากคำให้การขุนหลวงหาวัดเอกสารเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่าคือที่ “วัดสพสวรรค์” ซึ่งตรงกับวัดสวนหลวงสบสวรรค์ กล่าวคือ
“พระองค์ [สมเด็จพระเอกาทศรถ – ผู้อ้าง] จึงมีพระบัญฑูรตรัสสั่งให้หามพระโกศทองทั้งสองใบที่ใส่พระศพขึ้นสู่บนพระราชรถแล้วก็แห่แหนเปนกระบวรมหาพยุหยาตราอย่างใหญ่มาจนถึงกรุงศรี อยุธยาธานี แล้วจึงสั่งให้ทำพระเมรุทองอันสูงใหญ่ยิ่งนัก
อันการพระบรมศพครั้งนั้นเปนการใหญ่หลวงนักหนาเกินที่เกินทางแต่ก่อนมา ทั้งเครื่องไชยทานก็มากนักหนา แล้วให้ประชุมกษัตริย์ทุกประเทศน้อยใหญ่ทั้งสิ้น จึงเชิญศพแห่แหนไปแล้วถวายพระเพลิงที่วัดศพสวรรค์…
ครั้นพระนเรศวรสวรรคตแล้ว พระเอกาทศรถจึงครอบครองกรุงฉลองพระเดชพระคุณพระเชษฐาสืบไป จึงทำการราชาภิเศก”อันครบครัน จึงถวายพระมเหษีพระนามชื่อพระสวัสดี พระองค์จึงสร้างวัดไว้ที่ [ต้นฉบับสมุดไทย “มีลายมือเขียนเพิ่มเติมว่า ถวายพระเพลิงพระนเรศแล้วจึงสมมตินามเรียกวัดสบสวรรค์ พระองค์จึงสร้างวัดไว้ที่”-ผู้อ้าง] สวนฉลองพระเชษฐาวัดหนึ่ง จึงสมมตินามเรียก วัดวรถาราม [ต้นฉบับสมุดไทย “มีลายมือเขียนแก้ไขคำ วัดวรถาราม เป็น วัดวรเชษฐาราม” – ผู้อ้าง] แล้วพระองค์จึงถวายที่เขตอาราม”
แต่ผู้เขียน (กำพล จำปาพันธ์) เห็นว่าวัดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นไปไม่ได้
กำพลเห็นว่า เมื่อพิจารณาจำนวนผู้มาร่วมงาน เฉพาะพระภิกษุสงฆ์ในพิธีก็มีมากถึง 10,000 รูป หากนับรวมบรรดาพระ
บรมวงศานุวงศ์, ขุนนางราชสำนัก, พ่อค้า, ไพร่ราษฎร ฯลฯ ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนที่จะมาร่วมงาน พื้นที่ของวัดวรเชษฐาราม (วัดวรเชษฐ์ในเกาะ) และวัดสพสวรรค์ ไม่น่าจะเพียงพอ
หากเป็นวัดวรเชตุเทพบำรุง (วัดวรเชษฐ์นอกเกาะ) ที่อยู่กลางทุ่งก็ดูสมเหตุสมผลกว่า
แต่โดยธรรมเนียมกรุงศรีอยุธยาก่อนการสร้างวัดไชยวัฒนารามในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว ไม่ปรากฏการถวายพระเพลิงพระบรมศพที่บริเวณนอกเกาะเมือง นิยมทำในเมืองกันมาโดยตลอด
แล้ววัดไหนที่ใช้จัดงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตลอดจนข้อมูลที่หนักแน่นครบถ้วนกว่านี้ ขอได้โปรดติดตามจาก “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤศจิกายนนี้
ลองดูกันว่าหลักฐานเก่าที่ กำพล จำปาพันธ์ นำมาให้ท่านอ่านด้วยกัน ด้วยมุมมองใหม่จะเห็นอะไรได้กว้าง ได้ลึกกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ