ปภาพินท์ วีระภุชงค์ ตามฝัน… ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ ‘แล้ววันหนึ่งเราจะเติบโต’

ปภาพินท์ วีระภุชงค์ เจ้าของผลงาน 'แล้ววันหนึ่งเราจะเติบโต'

“ชีวิตไม่ใช่แค่การได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ หรือติดแบรนด์เนม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้เกิดมาและทำอะไรให้กับสังคม” คือคำกล่าวของ ออม ปภาพินท์ วีระภุชงค์ ลูกสาวสุดที่รักของนักธุรกิจชื่อดังอย่าง สุภชัย วีระภุชงค์ ในวันเปิดตัวหนังสือ “แล้ววันหนึ่งเราจะเติบโต”

ร้อยเรียงประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากครอบครัวแสนอบอุ่นและเพียบพร้อม บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายแง่มุม คล้ายไดอารีที่รวบรวมเหตุการณ์ชีวิตตลอด 5 ปี ทั้ง สุข ทุกข์ อีกทั้งคำสอนของคุณพ่อ คุณแม่ รวมถึงผู้ใหญ่ที่เคารพ ที่สำคัญคือบันทึกการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ รอบโลกซึ่งช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ ด้วยความเป็นคนชอบเขียนหนังสืออย่างมาก จึงมีข้อเขียนมากมายที่เก็บไว้เป็นการส่วนตัว กระทั่งวันหนึ่งย้อนไปเปิดอ่าน พบข้อความที่เขียนไว้เองว่า ‘ความฝัน’ อย่างหนึ่งนั้นก็คือการมีหนังสือเป็นของตัวเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้น

“หนังสือเล่มนี้มีเรื่องของการเดินทาง เรื่องบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ อย่างพ่อ แม่ พี่มัดหมี่ (พิมดาว พานิชสมัย) อากง คุณตา คุณยาย ซึ่งมีคำสอนที่เป็นแรงบันดาลให้เรา และเรื่องราวการท่องเที่ยวที่เคยเขียนลงในไดอารีเอาไว้ เช่น ตอนไป นอรเวย์ รัสเซีย แต่ที่ชอบที่สุดคือจังหวัดเชียงราย ตอนนั้นมีโอกาสไปลงพื้นที่ทำวิจัยกับเพื่อนๆ ก่อนไปก็ไม่อยากไปเลย คิดว่าต้องลำบาก ต้องไปชนบท อยู่ไม่ได้แน่ๆ แต่พอได้ไปจริงๆ ก็อยู่ได้อย่างมีความสุข” ออมเปิดใจอย่างตรงไปตรงมา

 

Advertisement
ฉายภาพครอบครัวอบอุ่นที่สร้างแรงบันดาลใจ

พูดถึง ‘ความสุข’ แล้ว ทายาทธุรกิจดัง ยังบอกเล่ามุมมองของตัวเองได้อย่างน่าฟัง โดยเชื่อว่า ความสุขมาจากภายใน ไม่ใช่สิ่งนอกกาย หรือการเปรียบเทียบ ยื้อแย่ง แข่งขันกับใคร

“ทุกวันนี้เราไม่ค่อยมีความสุขเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราต้องสวย ต้องแต่งตัวแบบนี้ ต้องมีเงินเท่าโน้นเท่านี้แล้วจะมีความสุข ตอนที่ไปเชียงราย ออมเห็นพี่ๆ น้องๆ มีความสุขภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องแต่งกายด้วยแบรนด์เนม เราควรจะมีความสุขจากข้างใน ไม่ว่าคนอื่นจะมาว่าเราอย่างไร มันจะไม่มีผลอะไรเลย ถ้ารักตัวเองมากพอ ออมเองเคยมีความทุกข์ถึงแม้ว่าจะอยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์ เคยสอบตก เคยอกหัก แต่นั่นก็ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น เราไม่อยากเสียเวลา เมื่อมองย้อนกลับมายังมีครอบครัวและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่รักเรา หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นสิ่งดีๆ ที่อยากแบ่งปันให้ทุกคนเพื่อเป็นกำลังใจเวลาท้อแท้”

มอบ 4,000 เล่มให้โรงเรียนทั่วประเทศ

ไม่ต้องสงสัยว่าทัศนคติที่สื่อถึง ‘พลังบวก’ ทางความคิดเช่นนี้ ได้รับการหล่อหลอมมาจากไหน แน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้ครอบครัว ที่ไม่เคยกดดันหรือคาดหวัง หากแต่อยากให้ลูกสาวคนนี้ ‘มีความสุข’ เพียงเท่านั้น

Advertisement

“คุณแม่ไม่เคยบอกว่าเธอต้องเรียนได้เกรดเอ ต้องสอบได้คะแนนดี เธอจะทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตมีความสุข ท่านอยู่ด้วยตลอดเหมือนเป็นเพื่อน สอนเรื่องการวางตัว เรื่องอารมณ์ เรื่องความคิด ที่ชอบที่สุดคือเรื่องการให้อภัย ทุกครั้งที่เราโกรธแล้วไปคุยกับคุณแม่ ท่านจะบอกว่าโกรธแล้วได้อะไร มีอะไรดีขึ้นไหม ออมเขียนไว้ในหนังสือว่าการให้อภัย เหมือนการให้ที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย การให้อภัยทำให้เราโตขึ้น จิตใจปลอดโปร่ง ปล่อยวาง เป็นคำสอนของคุณแม่ที่นำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ส่วนคุณพ่อ แม้ช่วงเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกันมีน้อย เพราะทำงานอยู่ต่างประเทศตลอด แต่ท่านทำความดีเป็นตัวอย่างให้ดู”

สุภชัย วีระภุชงค์ มาในฐานะคุณพ่อ กล่าวความรู้สึกและเกร็ดเล็กน้อยเบื้องหลังหนังสือที่น่าสนใจยิ่ง

มาถึงตรงนี้ คุณพ่อสุภชัย วีระภุชงค์ ที่มาให้กำลังใจลูกสาวคนโตในวันสำคัญ ก็ร่วมบอกเล่าความรู้สึกว่า ครอบครัวรู้สึกภูมิใจมาก หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นประโยชน์เพราะมีข้อคิดดีมากจากผู้ใหญ่หลายคน ส่วนตัวอยากฝากลูกหลานให้เชื่อในเรื่องความดี ทั้งคิดดี พูดดี ทำดี

“ถ้าเราไม่ยกระดับจิตใจ ถ้าหลงไปในทางโลก คงอยู่ยาก ในหนังสือมีคำสอน ของอากง อาม่า และประวัติชีวิตของผมและคุณพ่อมาเขียนไว้เพื่อเป็นแนวทางให้กับเด็กที่จะใช้ชีวิตต่อไป ส่วนภาพประกอบมาจากการเดินทางไปตามล่าแสงเหนือกันที่นอร์เวย์เมื่อปีที่แล้ว กว่าจะได้เห็นก็เกือบตีหนึ่ง ตีสอง” สุภชัยเล่า ก่อนเชื่อมโยงเรื่องราวกับความเชื่อเรื่อง ‘พญานาค’ ในพระพุทธศาสนาที่เจ้าตัวบอกว่า เมื่อมองแสงเหนือแล้วคล้ายพญานาค 7 เศียร โดยเมื่อนำภาพจากฝั่งตะวันตกและตะวันออกมาต่อกันก็กลายเป็นภาพพญานาคอีก

สุภชัย วีระภุชงค์ พร้อมหน้าภรรยาและลูกสาวในวันเปิดตัวหนังสือ

ส่วนพี่สาวคนสนิท ที่เจ้าของผลงานพูดถึงบ่อยครั้งอย่าง มัดหมี่ พิมดาว พานิชสมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงชื่อดัง บอกว่าภูมิใจกับน้องสาวคนนี้อย่างยิ่ง

“ภูมิใจที่ได้เห็นถึงความตั้งใจที่จะแบ่งปันความฝัน ความสุข และความรักให้กับทุกคน เมื่อได้เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว นอกจากจะสร้างรอยยิ้มที่มุมแก้ม ยังได้รับข้อคิดดีๆ อีกด้วย และเชื่ออย่างแน่นอนว่าวันหนึ่งน้องออมจะเติบโตอย่างงดงาม และเป็นนักเขียนที่ดีในอนาคต รักเสมอและขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ” มัดหมี่กล่าว

เปิดตัวหนังสืออย่างอบอุ่น

ด้าน วรรษชล ศิริจันทนันท์ หรือ ฝน ผู้รับหน้าที่บรรณาธิการเล่ม บอกว่าจุดเด่นของออม คือจิตใจดี มองคนในแง่ดี ไม่ถือตัว ให้เกียรติผู้อื่น

“ดิฉันเองก็อยากจะทำหนังสือที่อ่านแล้วได้ความรู้สึกดีๆ และมีประโยชน์ จากประสบการณ์การทำหนังสือมา ถ้า บก.กับคนเขียนเข้ากันได้ดี หนังสือก็จะออกมาดี สิ่งที่แนะนำไปคือการให้ลองอ่านทบทวนสิ่งที่เขียนมา ว่าคำคมไหนหรือท่อนไหนมีที่มาอย่างไร ถ้ามีเรื่องราวสำคัญที่อยากจะเล่า ก็ให้เขียนออกมาเป็นบทความเรียงเสริมเข้าไปด้วย เพื่อให้คนอ่านรู้สึกเชื่อมโยงมากขึ้นและมีประสบการณ์ร่วม จะทำให้คนฉุกคิดได้ อยากให้คนอ่านเข้าถึงได้จริงๆ ซึ่งน้องออมก็เห็นด้วย” บรรณาธิการฝนเล่าย้อนถึงขั้นตอนการทำงาน

ประวัติบุคคลในครอบครัววีระภุชงค์แห่งไทยนครพัฒนาส่งต่อแง่คิดแก่คนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี

ส่วนภาพปกที่ดูอ่อนโยน สบายตา และเข้าถึงง่าย เป็นความตั้งใจของออม ที่อยากได้แนวการ์ตูนกับหนังสือนิทานให้อ่านง่ายและมีสีสันน่ารัก โดยได้เพื่อนสมัยเรียนมัธยมเป็นคนวาดให้ด้วยตนเอง

ปิดท้ายด้วยที่มาที่ไปของชื่อหนังสือ ที่คัดสรรมาจากราว 30 ชื่อ ตีพิมพ์บนหน้าปกที่มีถ้อยคำสำคัญคือ ‘เติบโต’ ซึ่งออมบอกว่าชอบคำนี้เป็นพิเศษด้วยความหมายอันมีนัยยะบางอย่าง

“พอร่างกายเราโตขึ้น ความคิดก็จะเติบโต หัวใจก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นชื่อที่ดีซึ่งมันก็จะเติบโตไปกับเราเช่นกัน”

แขกผู้มีเกียรติร่วมยินดี

‘หนุ่มเมืองจันท์
มีหลายเรื่องที่ผมชอบระดับที่ต้องจดไว้

คำนิยมจาก สรกล อดุลยานนท์ หรือ “หนุ่มเมืองจันท์” นักเขียนดังเจ้าของผลงานชุดฟาสต์ฟูดธุรกิจ

ผมชอบอ่านงานเขียนชิ้นแรกของนักเขียนหน้าใหม่ เพราะเมื่อถึงเล่มที่ 2-3…เขาจะเริ่มเก่า

นึกถึง “ความรู้สึก” ตอนอ่านหนังสือ “โตเกียวไม่มีขา” หนังสือเล่มแรกของ “นิ้วกลม” ผมสัมผัสได้ถึงความสดใหม่ของเรื่องราว ภาษา และสำนวน คนที่เขียนมานานๆ เขียนไม่ได้แบบนี้ เพราะเขาจะติดกับ “กรอบ” ที่เราสร้างขึ้นจาก “ประสบการณ์” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของ “ออม” สำนวน-ภาษาอาจไม่ได้โดดเด่นเหมือน “นิ้วกลม” แต่เรื่องราวที่เล่าน่ารักมาก เป็นมุมมองของเด็กสาวอายุ 25 ในครอบครัวนักธุรกิจที่อบอุ่น มีทั้งคำสอนของผู้ใหญ่ในครอบครัว ธรรมะ และมุมคิดจากประสบการณ์ของเธอ มีหลายเรื่องที่ผมชอบระดับที่ต้องจดไว้ อย่างเช่นเรื่องการให้อภัย ออมบอกว่าการให้อภัย เป็นการให้ที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย และการให้อภัยคือการรักตัวเอง อะไรที่ไม่ดี ไม่ชอบ เราก็อย่าเอาไว้ในใจ

“ให้อภัย” มุมแบบนี้…ชอบ

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ละมุนมากครับ มีมุมคิดน่ารัก สมกับวัย เหมือนสายลมบางเบาที่พัดผ่านในวันที่ร้อนรุ่ม ผมจะรออ่านหนังสือเล่มต่อไปของเธอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image