ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | รายงานโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
น้ำนองท่วมทุ่งข้าวรอบอยุธยาไม่ยอมลดตลอดเดือน 12 ครั้นถึงเดือนอ้าย [เดือน 1] พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเสด็จพยุหยาตราทางชลมารคกระบวนใหญ่สุด เคลื่อนจากพระนครศรีอยุธยาลงไปทำพิธีกรรมให้น้ำลด เรียกพิธีไล่เรือ หรือไล่น้ำ ที่บางขดาน หรือบางกระดาน ปัจจุบันเรียกบางปะอิน [กร่อนกลายจากบางพระอินทร์]
บางปะอิน จึงเป็นพื้นที่เฮี้ยนและศักดิ์สิทธิ์มาแต่ดึกดำบรรพ์ตราบจนทุกวันนี้
ไล่น้ำที่บางกระดาน
พระราชพิธีไล่น้ำครั้งใหญ่มีในแผ่นดินพระเอกาทศรถ มากกว่า 400 ปีมาแล้ว ราว พ.ศ.2149 พบในพระราชพงศาวดาร [ฉบับพระราชหัตถเลขา] สรุปดังนี้
พระเอกาทศรถเสด็จลงประทับเรือพระที่นั่งชัยสุพรรณหงส์ และเชิญพระพุทธปฏิมากรประดิษฐานในเรือวรสุวรรณหงส์ แห่เป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคประทับขนานบางกระดาน ดำรัสให้เลี้ยงท้าวพระยามนตรีมุขทั้งหลาย
เสร็จแล้วแยกเรือกระบวนแห่พระไว้ เสด็จโดยกระบวนพยุหยาตรากลับขึ้นไประทับขนานท่ามหาวาสุกรี คอยทอดพระเนตรกระบวนเรือแห่พระพุทธปฏิมากร ซึ่งออกกระบวนภายหลังกระบวนเสด็จ
พระราชพิธีไล่เรือ [ไล่น้ำ] พบในกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้เมื่อ 500 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ.2000 ระบุโดยสรุปว่า พระเจ้าแผ่นดิน, พระอัครมเหสี, ลูกเธอ, พระสนม ทรงและแต่งเครื่องอย่างโบราณ ส่วนทวาทศมาส [โคลงดั้น] พรรณนาว่าเสด็จลงประทับเรือพระที่นั่งล่องไปทำพระราชพิธีไล่ชล [ไล่เรือ, ไล่น้ำ] บริเวณดินสะดือที่บางขดาน มีโคลงดั้นว่า “ตกบางขดานดิน สะดือแม่”
บางกระดาน ทุ่งหลวง
ไล่น้ำทำพิธีที่เอกสารเก่าเรียกบางขดาน ก็คือบางกระดาน [เหมือน ขบวน ตรงกับ กระบวน] หมายถึงบริเวณทุ่งหลวงราบเรียบราวแผ่นกระดานกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งมีสะดือดิน
ทุ่งหลวงราบเรียบราวแผ่นกระดานเป็นพื้นที่ธรรมชาติ เกิดจากโคลนเลนแม่น้ำพัดพามากับน้ำป่าจากทางเหนือหลากท่วมเนิ่นนาน แล้วตกตะกอนทับถมเป็นประจำต่อเนื่องนับพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ปีมาแล้ว
[สมัยโบราณ ทุ่งหลวงโล่งโถงสุดลูกหูลูกตา (ยิ่งกว่าทุ่งกุลาในอีสาน) ไม่มีต้นไม้และบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างหนาแน่นเหมือนปัจจุบัน]
สะดือ ในความเข้าใจของคนดั้งเดิมเป็นช่องทางกำเนิดของคนและสิ่งต่างๆ เพราะเชื่อว่าคนเกิดจากสะดือของแม่ [ความเชื่อนี้ตรงกับคติดั้งเดิมของอินเดียว่าพระพรหมถือกำเนิดจากสะดือ (นาภี) พระนารายณ์ ดังภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์บนทับหลังปราสาทพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์]
ดั้งนั้นสะดือเป็นอวัยวะศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกเสาหลักเมืองว่า สะดือเมือง, เรียกส่วนที่ลึกสุดของน้ำว่าสะดือน้ำ หรือสะดือทะเล หรือสะดือสมุทร [พบในรำพันพิลาป ของ สุนทรภู่]
เมื่อเรียกสะดือดิน หรือดินสะดือ น่าจะหมายถึงตาน้ำผุด [คือ ซัม, ซำ] อันเป็นทางขึ้นลงของน้ำบาดาล ที่ชาวบ้านสมัยก่อนเรียกรูนาค เพราะเป็นทางขึ้นลงของนาคผู้พิทักษ์ดินและน้ำ
บริเวณที่ชวนให้คิดว่าเป็นดินสะดือ หรือตาน้ำผุดของบางกระดาน ก็คือปัจจุบันเป็นสระน้ำซึ่งมีพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ตั้งอยู่ในพระราชวังบางปะอิน [สระน้ำหรือตาน้ำในสระเทียบได้กับสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่สุพรรณบุรี]
ถ้าจะให้น้ำลดก็ต้องทำพิธีไล่น้ำลงสะดือดินกลับสู่บาดาลอันเป็นแหล่งของน้ำ แล้ววิงวอนร้องขอต่อนาคให้ควบคุมน้ำคืนบาดาลตามความเข้าใจของคนสมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุนั้นจึงต้องมีพิธีกรรมไล่น้ำที่บางขดาน บริเวณสะดือดิน
ที่ว่าจะให้น้ำลดต้องผลักดันน้ำไหลลงทะเลอ่าวไทย เป็นความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
น้ำท่วมข้าว ต้องไล่น้ำ
น้ำมากถ้ามีต่อเนื่องไม่ลดจนเนิ่นนานถึงสิ้นปีนักษัตรเก่า [กลางเดือน 12] กระทั่งขึ้นปีนักษัตรใหม่ [เดือนอ้าย หรือเดือน 1] ราวปลายพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม ซึ่งเป็นเหตุให้รวงข้าวแก่แล้วร่วงจมน้ำ และทำให้เมล็ดข้าวหักละเอียดไม่เป็นตัว ไม่เป็นเมล็ดเต็มๆ เป็นเหตุชาวนาไพร่บ้านพลเมืองกระวนกระวายขวนขวายที่จะให้น้ำลด
พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงเป็นพระราชธุระ แต่จะทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ นอกจากกระทำเป็นพระราชพิธีเพื่อให้เป็นที่อุ่นใจของราษฎร นั่นคือไล่เรือหรือไล่น้ำให้น้ำลด โดยเสด็จทางชลมารคลงไปบางปะอิน ทรงทำพิธีกรรมด้วยกระบวนเรือครบถ้วนมหึมาจากพระนครศรีอยุธยา
ดินและน้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหารบำรุงเลี้ยงผู้คนพลเมืองของราชอาณาจักร ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาต้องมีพิธีกรรมกระทำบำเรอบำรุงประจำฤดูกาลทุกปีมิได้ขาด [เป็นนาฏกรรมแห่งรัฐ] เพื่อขอขมาและวิงวอนร้องขอต่อดินและน้ำมิให้เป็นอันตราย
บางกระดาน คือ บางปะอิน
บางกระดาน คือ บางปะอิน พื้นที่เฮี้ยนและศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเสด็จพยุหยาตราทางชลมารคไปทรงทำพิธีไล่น้ำ
เป็นผลการศึกษาและตรวจสอบของพระยาโบราณราชธานินทร์ฯ [อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ผู้เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์อยุธยาเมืองเก่า และรับราชการในอยุธยาต่อเนื่องนาน 33 ปี]
[ข้อมูลหลักฐานชุดนี้ผมรู้จากคำแนะนำของ ปรีดี พิศภูมิวิถี จากคำอธิบายของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ในคำกราบบังคมทูลเรื่อง “ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินประพาส ทรงบวงสรวงอดีตมหาราช ณ พระราชวังกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลที่ 6” [พิมพ์ในหนังสือ กรุงเก่าเล่าเรื่อง โดย รศ.วรรณศิริ เดชะคุปต์ และ ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี บรรณาธิการ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2554 หน้า 209-211]]
ถ้าจริงตามนี้น่าจะเข้าใจได้ว่าบางกระดานเป็นชื่อเก่าดั้งเดิมก่อนมีกรุงศรีอยุธยา ส่วนบางปะอินเป็นชื่อสมัยหลัง [ตั้งแต่เมื่อไร? ยังหาหลักฐานอธิบายตรงๆ มิได้]
บางปะอินเป็นพื้นที่เฮี้ยนและศักดิ์สิทธิ์ และมีผู้นำท้องถิ่นแข็งแรงตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องเพราะเป็นที่ราบลุ่มชุ่มน้ำ มีลำน้ำผ่านหลายสาย เช่น แม่น้ำป่าสัก (สมัยโบราณ) รองรับการไหลลงมาจากทางเหนือของโคลนตมอุดมสมบูรณ์ในข้าวปลาอาหาร จึงมีชุมชนสองฝั่งลำน้ำหนาแน่นและมีกำลังคนแข็งแรง [สรุปจากหนังสือ สร้างบ้านแปงเมือง ของ ศรีศักร วัลลิโภดม สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2560 หน้า 253-258] พ้นชุมชนออกไปเป็นพื้นที่ราบรับน้ำหลาก เรียก ทุ่งหลวง
“บางพระอินทร์” เป็น บางปะอิน
บางปะอิน เป็นชื่อสมัยหลัง เรียกแทนชื่อเดิมว่าบางขดาน หรือบางกระดาน
ชื่อบางปะอินน่าจะกร่อนกลายจากพระนาม “พระอินทราชา” ซึ่งเป็นพระนามพระเจ้าทรงธรรมก่อนเสวยราชย์ [มีหลักฐานในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ.2182] แล้วทอนลงสั้นๆ ว่า “บางพระอินทร์” นานไปก็กร่อนเป็น “บางปะอิน”
นาม “พระอินทราชา” ได้รับยกย่องเรียกภูมิสถานยังตกค้างความนิยมไว้ในชื่อ “ประตูน้ำพระอินทราชา” ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
พระเจ้าทรงธรรม พระนามเดิม “อินทราชา”
พระอินทราชา คือพระนามเดิมของพระเจ้าทรงธรรม ที่ทรงเป็นโอรสองค์โตของสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่ประสูติจาก “นางห้าม” หญิงท้องถิ่นบางปะอิน พระยาโบราณราชธานินทร์ฯ มีคำอธิบายจากคำบอกเล่าเก่าแก่ ดังต่อไปนี้
พระเอกาทศรถ เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช [ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร] เสด็จลงเรือไปประพาสทางแม่น้ำข้างใต้พระนคร เรือพระที่นั่งถูกพายุฝนล่มลง ต้องเสด็จขึ้นอาศัยพักอยู่บนบ้านราษฎรที่บางปะอิน เป็นเหตุทรงได้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเป็นนางห้าม แต่มิได้ทรงรับไปเลี้ยงดูไว้ในพระราชวัง กระทั่งนางนั้นมีบุตรชาย ต่อมาพระเอกาทศรถทรงรับกุมารไปเลี้ยงดู แต่ไม่ได้ทรงรับโดยเปิดเผยว่าเป็นพระราชบุตร
กุมารที่เป็นพระราชบุตร [ของพระเอกาทศรถ] มีบุญญาธิการ ได้เป็นที่ พระอินทราชา ต่อมาได้ครองราชสมบัติ ทรงพระนาม พระเจ้าทรงธรรม
พระเจ้าปราสาททอง
โดยทั่วไปเคยเข้าใจว่าพระเจ้าปราสาททองเป็นกุมารราชบุตรเกิดจากหญิงชาวบางปะอิน
แต่พบหลักฐานในพงศาวดารฉบับวัน วลิต พ.ศ.2182 ว่าพระเจ้าปราสาททอง เป็นลูกของพี่ชายของหญิงชาวบางปะอิน หมายความว่าพระเจ้าทรงธรรมกับพระเจ้าปราสาททอง มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องเครือญาติในตระกูลบ้านเดียวกัน [ที่บางปะอิน] พระยาโบราณราชธานินทร์ฯ อธิบายเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
“ส่วนประวัติของพระเจ้าปราสาททองนั้น จดหมายเหตุของพวกฝรั่งได้กล่าวชัดเจน ว่าพระองค์เป็นบุตรพระยาศรีธรรมาธิราชๆ เป็นพี่ของพระชนนีพระเจ้าทรงธรรม และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาเอาไปเลี้ยงไว้เป็นมหาดเล็ก รับราชการใกล้ชิดพระองค์มาแต่ยังเล็ก
ข้อนี้เองทำให้ตำราเกร็ดเอาพระเจ้าปราสาททองไปยกให้เป็นพระราชบุตรสมเด็จพระเอกาทศรถ และด้วยเหตุต่อมาเมื่อพระเจ้าปราสาททองได้ราชสมบัติแล้ว ได้ทรงสร้างพระราชวังบางปะอินไว้เป็นที่ประพาส และทรงสร้างวัดชุมพลนิกายารามซึ่งผู้เล่าหลงไปว่าสร้างลงในที่บ้านเดิมของพระชนนีพระเจ้าปราสาททอง
แต่ความจริงวัดชุมพลนิกายาราม พระเจ้าปราสาททองได้ทรงสร้างลงในบ้านเดิม ของพระอัยกาของพระองค์ ซึ่งพระยาศรีธรรมมาธิราชพระชนกของพระองค์และสมเด็จพระชนนีของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมผู้เป็นน้อง และซึ่งเป็นพระมาตุฉาของพระองค์ได้ประทับอยู่มาแต่เดิม”