ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
ผันน้ำจากแม่กลอง-ท่าจีนลงเจ้าพระยา เพื่อผลักดันน้ำทะเลต่ำลงไป เพราะหน้าแล้งรุนแรงผิดปกติจนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า น้ำทะเลหนุนเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเหตุให้น้ำประปารสกร่อยเพราะมีน้ำเค็มผสมมากกว่าปกติ
แม่กลอง-ท่าจีน อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบริเวณมีชุมชนบ้านเมืองเก่าแก่ที่สุดในภาคกลาง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย
กรมชลฯปรับแผนดันน้ำเค็ม
นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน (ด้านบำรุงรักษา) กรมชลประทาน ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขและบรรเทาวิกฤตภัยแล้ง ปี 2562/63 กรมชลประทาน กล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำเพื่อควบคุมค่าความเค็มในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้เพิ่มการระบายน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก
ส่วนลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีน ได้ผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองลงแม่น้ำท่าจีน ผ่านคลองจรเข้สามพัน ออกทางประตูระบายน้ำสองพี่น้อง และผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองลงแม่น้ำท่าจีนผ่านคลองท่าสาร-บางปลา ออกทางประตูระบายน้ำบางปลา
ส่วนลุ่มน้ำท่าจีน-เจ้าพระยา ผันน้ำจากแม่น้ำท่าจีนลงแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านคลองพระยาบันลือ
(ที่มา : มติชน ฉบับวันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562 หน้า 11)
เส้นทางการค้านับพันปีมาแล้ว
แม่กลอง-ท่าจีน เป็นบริเวณมีชุมชนบ้านเมืองเก่าแก่ที่สุดของลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลาง [มีคำอธิบายพร้อมหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีมากมายนับไม่ถ้วนในงานค้นคว้าวิจัยของ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม]
อินเดียกับจีน มีการค้าทางทะเลต่อกัน ต้องขนถ่ายผ่านดินแดนสุวรรณภูมิบริเวณพม่ากับไทย ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกราว 2,000 ปีมาแล้ว หรือเมื่อเรือน พ.ศ.500
โดยเรือแล่นเลียบชายฝั่งอ่าวเบงกอล จากอินเดียเข้าถึงพม่า (ภาคใต้) บริเวณอ่าวเมาะตะมะ สินค้าถูกขนขึ้นฝั่งท่าเรือเมืองทวาย
จากนั้นเดินบกเข้าไทย ผ่านช่องเขาต่างๆ เช่น ด่านเจดีย์สามองค์ ฯลฯ เพื่อล่องตามลำน้ำแควน้อย ถึงปากแพรก (กาญจนบุรี) บริเวณแควน้อยไหลรวมแควใหญ่เป็นแม่น้ำแม่กลอง
เข้าแม่น้ำแม่กลอง ออกอ่าวไทยโดยตรง หรือแยกไปแม่น้ำท่าจีนก่อนแล้วออกอ่าวไทยก็ได้ โดยมีชุมชนสถานีการค้าอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองเรียกพงตึก (ไม่ใช่เมืองโบราณตามที่มีป้ายบอกไว้คลาดเคลื่อน) และมีแลนด์มาร์กศักดิ์สิทธิ์เรียก พระแท่นดงรัง (อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี)
แม่น้ำแม่กลองมีคลองแยกไปแม่น้ำท่าจีน ผลักดันเกิดบ้านเมืองใหญ่เท่าที่พบขณะนี้ 3 แห่ง ตามลำดับจากเหนือลงใต้ ได้แก่ เมืองอู่ทอง, เมืองกำแพงแสน, เมืองนครปฐม
[ลำน้ำเชื่อมระหว่างแม่กลองกับท่าจีน ทุกวันนี้ส่วนมากตื้นเขิน หลายแห่งไม่เหลือร่องรอยแล้ว แต่บางแห่งถูกบูรณะกว้างขวาง มีน้ำไหลถ่ายเทใช้ประโยชน์ในชีวิตปัจจุบันเพื่อเกษตรกรรม]
คลองเชื่อมแม่กลอง-ท่าจีน
เส้นทางลำคลองเชื่อมแม่กลอง-ท่าจีน อย่างน้อย 3 สาย เป็นเส้นทางมีคุณค่าสูงยิ่งทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ถ้าบูรณะให้ใช้งานได้สะดวกและปลอดภัย เชื่อมโยงถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แควน้อย-แควใหญ่ กาญจนบุรี จะมีมูลค่ามากทางการเกษตรและการท่องเที่ยว
1.ท่าม่วง-อู่ทอง แม่กลองจากบ้านท่าม่วง (อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี) มีลำน้ำแยกไหลทวนขึ้นไปทางทิศเหนือ เรียก ลำน้ำทวน ผ่านพนมทวน, ดอนตาเพชร (อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี)
แล้วเข้าสู่เขตสุพรรณบุรี เรียกลำน้ำจรเข้สามพัน ไหลไปลงแม่น้ำท่าจีน (อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี) กระตุ้นให้เกิดเมืองอู่ทอง (อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี)
แผนที่แม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน แสดงเส้นทางผันน้ำ 1.ผ่านคลองทวน-จรเข้สามพัน (เส้นสีแดง) 2.ผ่านคลองท่าสาร-บางปลา (เส้นสีเขียว [แผนที่โดย ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ มกราคม 2563]
ต่อมาเมืองอู่ทองลดความสำคัญลง (ไม่ได้ร้างอย่างที่อ้างในตำรา) โดยมีศูนย์กลางใหม่ขยายออกไป ได้แก่ เมืองสุพรรณภูมิ (จีนเรียก เจนลีฟู) ที่ต่อไปข้างหน้าจะรวมเป็นอยุธยา ราชอาณาจักรสยามแห่งแรกของประวัติศาสตร์ไทย
2.ท่าเรือ-กำแพงแสน แม่กลองจากบ้านท่าเรือ (อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี) มีลำน้ำท่าสาร แยกไหลไปทางทิศตะวันออก ผ่านกำแพงแสน (จ.นครปฐม) ไหลไปลงแม่น้ำท่าจีน ที่บ้านบางปลา (อ.บางเลน จ.นครปฐม) กระตุ้นให้เกิด เมืองกำแพงแสน (อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม)
3.ท่าเรือ-นครปฐม แม่กลองจากบ้านท่าเรือ (อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี) มีลำน้ำท่าสารแยกไหลไปทางทิศตะวันออก แล้วแยกอีกสายหนึ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านนครปฐมเรียกลำน้ำทัพหลวง, ลำน้ำบางแก้ว ไหลไปลงแม่น้ำท่าจีน (อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม) กระตุ้นให้เกิดเมืองนครปฐม (อ.เมืองฯ จ.นครปฐม)
หน้าแล้งแม่น้ำแห้งขอดนับพันปีมาแล้ว
ฝนแล้งได้ในบางปี และอาจแล้งติดต่อกันหลายปีก็ได้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำลำคลองแห้งหายในหน้าแล้ง จนไม่มีน้ำในนา ไม่มีปลาในหนอง
แม่น้ำขอดแห้งในหน้าแล้งเมื่อสมัยไม่มีเขื่อนภูมิพล (จ.ตาก) และเขื่อนเจ้าพระยา (จ.ชัยนาท) แม่น้ำเจ้าพระยามีข่าวใน นสพ. สมัยนั้นทุกปีว่าน้ำแห้งเห็นท้องทรายคนเดินข้ามได้เป็นบางช่วงในเขต จ.สิงห์บุรี, ชัยนาท, นครสวรรค์ ฯลฯ
กรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยาแห้งขอด เห็นโคลนท้องน้ำในหน้าแล้ง ก่อน พ.ศ.2500
แม่น้ำในสุพรรณสมัยก่อนมีเขื่อนภูมิพลและประตูน้ำเป็นตอนๆ ในหน้าแล้งจะแห้งจนเดินข้ามได้ ชาวสุพรรณบุรีมีอาวุโสต่างรู้ทั่วกัน
แม่น้ำอื่นๆ ทั่วประเทศในหน้าแล้งก็แห้งตามๆ กัน
เดือดร้อนทุกปี แต่รัฐแก้ไขไม่ได้
แม่น้ำแห้งขอดหน้าแล้ง ดินแตกระแหงหน้าร้อน ผู้คนเดือดร้อนนับพันปีมาแล้ว จึงมีพิธีกรรมขอฝนเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากชั่วคราว เช่น แห่นางแมว, ปั้นเมฆ, จุดบั้งไฟ เป็นต้น
สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้า มีความคิดวิทยาศาสตร์มากขึ้น พากันเหยียดประเพณีพิธีกรรมของคนบ้านๆ ที่เดือดร้อนจากหน้าแล้งว่างมงายในศาสนาผี
ที่จริงควรตำหนิคนชั้นนำที่มีอำนาจเป็นเจ้าของควบคุมเทคโนโลยีว่าประสิทธิภาพบกพร่อง แก้ปัญหาแล้งน้ำให้คนบ้านๆ เหล่านั้นไม่ได้ ทั้งๆ ใช้งบประมาณจากภาษีอากรของคนเหล่านั้นจำนวนมาก และใช้เวลานานมากแล้วอย่างน่าละอาย แต่ไม่อาย
แห่นางแมว มาจากไหน?
แห่นางแมวขอฝน ด้วยความเชื่อที่สั่งสมและสืบเนื่องมานานมาก ว่าแมวมีอานุภาพบันดาลให้มีปลาและน้ำ ความเชื่อนี้มีมาจากประสบการณ์ว่าแมวชอบกินปลา ส่วนปลามากับน้ำหลังฝนตก
การละเล่นแห่นางแมวขอฝน มีสาดน้ำเป็นตัวแทนของน้ำท่วมและมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ มีขบวนแห่นำด้วยคนรำช้อนหาปลา แล้วมีคนรำข้องใส่ปลาตามหลัง
คำอธิบายแห่นางแมวและภาพประกอบที่ยกมานี้ ผมอ่านแล้วเก็บความโดยสรุปจากเรื่อง ระบำตรุษเนียงแมว ในหนังสือ ระบำขแมร์ ของ เพชร ตุมกระวิล อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาวัฒนธรรมและวิจตรศิลปะ ประเทศกัมพูชา [(แปลเป็นภาษาไทย โดย ภูมิจิต เรืองเดช) มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548 หน้า 146-149]
คำอธิบายสำนวนเก่าที่เคยบอกต่อกันนานมาแล้ว ว่าชาวบ้านขอฝนจากเทวดาด้วยการสาดน้ำแมว เพราะแมวกลัวน้ำจะได้ฟ้องเทวดา แล้วเทวดาบันดาลให้มนุษย์ตามต้องการ