ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
แล้งน้ำก่อนถึงหน้าแล้ง (เมษายน) สะท้อนความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและสังคมของทุกรัฐบาลเผด็จการทหาร ที่จ้องช่วงชิงอำนาจของรัฐบาลจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จนไม่ไยดีต่อชีวิตประชาชน
รัฐไทยน่าจะชำนาญการแก้ไขและรับมือภัยแล้ง แต่ในความจริงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะรัฐไทยส่วนมากหมกมุ่นยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แล้วต้องคอยระวังผดุงรักษาอำนาจนั้นให้สืบทอดยาวนานที่สุด จึงไม่มีความคิดแก้ไขและรับมือภัยแล้ง หรือภัยเศรษฐกิจอื่นๆ
แล้งน้ำเพราะฝนแล้ง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีในไทย (และพื้นที่โดยรอบ) ไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว เท่าที่พบหลักฐานสนับสนุนทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา กระทั่งสืบเนื่องถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา, กรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์
รัฐจารีตส่วนมากโยนภาระให้ประชาชนแก้ไขและรับมือภาวะข้าวยากหมากแพงจากภัยแล้งด้วยตนเองตามยถากรรม ส่วนประชาชนแก้ไขได้หรือไม่ได้ก็ให้ทุกคนรับชะตากรรมตามมีตามเกิด
บทกวีชื่ออีศานของนายผี เป็นกวีนิพนธ์มีคุณค่าอย่างสูงของสังคมไทย และมีพลังอย่างยิ่งตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรก (พ.ศ. 2495) ตราบจนปัจจุบันและอนาคต จึงถูกใช้งานสะท้อนสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำเพราะความล้มเหลวของการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากรัฐบาลเผด็จการทหารสมัยนั้นจนเกิดปฏิวัติรัฐประหารกันเองสืบมาอีกหลายครั้งไม่ขาดสายจนปัจจุบันซึ่งเป็นรัฐบาล “เผด็จการจำแลง”
คอมมิวนิสต์จากแล้งน้ำ
“ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย” ใครท่องกวีนิพนธ์สองวรรคนี้ของนายผีเมื่อ 60 ปีที่แล้ว มีข้อหาทันทีถึงคนนั้นว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” เพราะตอกย้ำอีสานแล้ง แล้วห่วงใยเห็นอกเห็นใจคนยากคนจนชาวไร่ชาวนา จึงอาจได้รับโทษติดคุก “ขังลืม”
มีผู้ถูกจับติดคุกขังลืมแล้วหลายคนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งชาวไร่ชาวนา, กวี, นักคิดนักเขียน, นักหนังสือพิมพ์ (สมัยนั้นไม่มีนักเลงคีย์บอร์ด เพราะยังไม่มีโซเชียลเหมือนทุกวันนี้)
อีศาน ของ นายผี
(พิมพ์ครั้งแรกใน สยามสมัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 256 วันที่ 16 เมษายน 2495)
ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม
แผ่นอกที่ครางครึม ขยับแยกอยู่ตาปี
———- ———-
ในฟ้าบ่มีน้ำ! ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่ง! ลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีศานสิ้น อย่าทรุด, สู้ด้วยสองแขน!
พายุยิ่งพัดอื้อ ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อีสานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดหนอ?
คนอีสานหนีแล้ง
คนอีสานหนีแล้งในฤดูแล้ง (หลังฤดูเก็บเกี่ยวราวมีนาคม-เมษายน-พฤษภาคมของทุกปี) เกาะรถไฟสายอีสานเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ แล้วอาศัยนอนเกลื่อนสถานีหัวลำโพง หนังสือพิมพ์รายวันสมัยนั้นต้องเสนอภาพและข่าวเป็นประจำทุกปี
“เกาะรถไฟ” เพราะที่นั่งในโบกี้เต็มจนแน่นเหมือนยัดทะนาน ดังนั้นคนโดยสารจำนวนหนึ่งต้องห้อยโหนล้นหน้าต่าง, ประตู, และขึ้นหลังคาตู้รถไฟทั้งขบวน
“นอนเกลื่อนสถานี” เพราะรถไฟเข้าเทียบชานชาลาแล้วไม่รู้จะไปทางไหน? ไม่เคยมา และไม่มีญาติพี่น้องจะพึ่งพา จึงต้องนั่งรอนอนรอไปก่อนที่สถานีหัวลำโพง เพื่อหาแนวทางจากพรรคพวกที่มาด้วยกัน ซึ่งตกเย็นย่ำค่ำคืนจะกลับมานอนที่หัวลำโพงเหมือนกัน เพราะยังไม่มีที่อื่นจะอาศัยนอนได้
คนอีสานเหล่านี้พร้อมรับจ้างทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้าหากได้ค่าจ้างรายวัน ครั้นเข้าหน้าฝนส่วนมากจะกลับไปทำนาที่อีสานบ้านใครบ้านมัน พอหน้าแล้งก็มาใหม่เข้าหางานในกรุงเทพฯ
คนไหนคุมแหล่งน้ำ คนนั้นคุมอำนาจ
แหล่งน้ำคืออำนาจ คนไหนคุมแหล่งน้ำ คนนั้นคุมอำนาจ
หน้าแล้งไม่มีฝน แต่มีแหล่งน้ำธรรมชาติจากตาน้ำ ซึ่งมีน้ำผุดพุ่งจากใต้ดิน (ชาวบ้านเรียกบาดาล ปัจจุบันทางการเรียกน้ำบาดาล)
ชาวบ้านโบราณรู้ว่าตาน้ำอยู่ใต้จอมปลวก ถึงหน้าแล้งพากันหาจอมปลวก เมื่อขุดลงไปใต้จอมปลวกจะพบตาน้ำมีน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน
[คำบอกเล่าโดยพิสดารมีในข้อเขียนเรื่องการหาตาน้ำ ในหนังสือ ฅนทุ่งกุลา โดย เดช ภูสองชั้น (กำนัน ต.ทุ่งหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2545 มติชน พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2546 หน้า 184-189]
น้ำผุดจากตาน้ำเหล่านี้ ก่อให้เกิดดินดำน้ำชุ่มอุดมสมบูรณ์ คนแต่ก่อนเรียก ซัม (ซำ) เป็นรากเหง้าของคำว่า “สยาม” มีคำอธิบายอีกมากของ จิตร ภูมิศักดิ์ อยู่ในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519)
นอกจากนั้นตาน้ำซับเป็นแหล่งน้ำสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ บึงพลาญชัย (จ.ร้อยเอ็ด), สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ (จ.สุพรรณบุรี), บึงบอระเพ็ด (จ.นครสวรรค์)
จอมปลวกคลุมตาน้ำ
จอมปลวก คือ รังขนาดใหญ่ของปลวกที่เป็นกองดินสูงขึ้นไป โดยกองดินคลุมตาน้ำทำให้ตรงนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
ตาน้ำที่มีน้ำซึมน้ำซับบางแห่ง กระตุ้นให้เกิดขุยดินครอบคลุมทับถมซ้อนเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่และน้อยต่างๆ กัน
ข้างใต้จอมปลวกจึงมีตาน้ำเป็นที่รู้ทั่วกันของคนแต่ก่อน แล้วเชื่ออีกว่าตาน้ำใต้จอมปลวกเป็นรูนาค หมายถึงรูบนพื้นดินที่พญานาคใช้ขึ้นจากบาดาลสู่พื้นโลก และใช้ลงจากพื้นโลกสู่บาดาลอันเป็นที่อยู่ของพญานาคอุษาคเนย์ เรียกโลกบาดาลเป็นที่กักเก็บน้ำปริมาณมหาศาล (ส่วนพญานาคอินเดียควบคุมน้ำอยู่บนฟ้า)
รูนาค บางทีเรียก “สะดือดิน” หรือ “ดินสะดือ” พบหลักฐานว่าสมัยอยุธยาเชื่อกันว่ามีที่บางปะอิน เรียกกันสมัยก่อนว่าบางขดาน (บางกระดาน) หมายถึงบริเวณราบเรียบราวแผ่นกระดานอันเกิดจากการทับถมของโคลนเลน (อยู่ในทวาทศมาส และกำสรวลสมุทร)
คนแต่ก่อนนับถือรูนาคใต้จอมปลวก เพราะเชื่อว่าคนมีอำนาจต้องเคยควบคุมจอมปลวก จึงผูกนิทานยกย่องผู้มีบุญนั่งบนจอมปลวก
พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เมื่อเป็นเด็กเลี้ยงวัวในทุ่งนากับเพื่อนวัยเดียวกันหลายคน ชอบเล่นสมมุติเป็นกษัตริย์ขึ้นว่าราชการบนจอมปลวก มีเด็กคนอื่นเป็นขุนนางหมอบกราบ ต่อมาเด็กเลี้ยงวัวที่เล่นขึ้นว่าราชการได้รับเชิญเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นามว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง (มีในพงศาวดารเหนือ)
พระเจ้าปราสาททอง ทรงมีพระสุบินว่าเมื่อเป็นเด็กเคยเล่นบนจอมปลวก ใต้จอมปลวกมีปราสาท ต่อมาให้ขุดจอมปลวกนั้นก็พบปราสาททองเป็นจัตุรมุข ตั้งแต่นั้นพระองค์จึงเฉลิมพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง (มีในคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า)
สยาม
สยามมีรากจากคําพื้นเมืองดั้งเดิมว่า ซัม, ซํา, หรือ สาม หมายถึงบริเวณที่มีน้ำซึมน้ำซับ เป็นตาน้ำพุน้ำผุดโผล่ขึ้นจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลน
น้ำซึมน้ำซับหรือตาน้ำพุน้ำผุดเหล่านั้น เกิดจากน้ำฝนที่รากต้นไม้อุ้มไว้ทั้งบนภูเขา และบนเนินดอน แล้วค่อยๆ เซาะซอนใต้ดินมาพุมาผุดขึ้นบริเวณดินอ่อนหรือดินโคลน ที่ราบเชิงเขาหรือเชิงเนินดอน จนบางแห่งกลายเป็นที่ลุ่มห้วยหนองคลองบึงบุ่งทาม เช่น หนองหานที่สกลนคร, หนองหานที่อุดรธานี, บึงบอระเพ็ดที่นครสวรรค์ เป็นต้น
[ปรับปรุงจากหนังสือ ความเป็นมาของคําาสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519]
สยาม ไม่ใช่ชื่อชนชาติเชื้อชาติ แต่เป็นชื่อดินแดนที่คนพวกอื่นซึ่งอยู่ภายนอกใช้เรียกบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำโขงตอนบนอย่างกว้างๆ หลวมๆ ครั้นสมัยหลังมีขอบเขตแคบลงเหลือเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคกลาง (ที่บางครั้งยาวต่อเนื่องลงไปถึงนครศรีธรรมราช)
ไทยเป็นชาวสยาม แต่สยามไม่ใช่คนไทย เพียงแต่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง
สยามไม่ใช่ชื่อชาติพันธุ์หนึ่งใดโดยเฉพาะ แต่เรียกกลุ่มคนที่เกิดและมีหลักแหล่งอยู่ดินแดนสยามว่า ชาวสยาม โดยไม่จํากัดชาติพันธุ์หรือชาติภาษา แต่ชาวสยามมักสื่อสารกันทั่วไปด้วยตระกูลภาษาไต-ไท (ซึ่งสมัยโบราณเป็นภาษากลางทางการค้าของดินแดนภายใน)
คนเกิดมาไม่ว่าชาติพันธุ์อะไร (แม้เป็นตระกูลมอญ-เขมร, ชวา-มลายู, ไต-ไท ฯลฯ) ถ้ามีหลักแหล่งอยู่ในดินแดนสยามแล้ว ถูกเรียกเหมาหมดว่าชาวสยาม เช่น คนนานาชาติพันธุ์บริเวณสองฝั่งโขงที่มีเวียงจันเป็นศูนย์กลาง เคยถูกเรียกว่าพวกสยาม ด้วยคําเขมรว่า เสียมกุก หรือ เสียมก๊ก, สยามก๊ก เมื่อเรือน พ.ศ. 1650 (มีคําจารึกและภาพสลักบนระเบียงปราสาทนครวัด)
ชาวยุโรปเรียกกรุงศรีอยุธยาว่าสยาม หรือราชอาณาจักรสยาม ต่อมาเรียกกรุงรัตนโกสินทร์ว่าประเทศสยาม
น้ำแล้ง น้ำล้น
น้ำแล้ง กับ น้ำล้น เป็นวิกฤตประจำปีจากธรรมชาติของบ้านเมืองในอุษาคเนย์ ทำให้มีพิธีกรรมเนื่องในศาสนาผีเพื่อลดความตึงเครียด
น้ำแล้งมี พิธีขอฝน น้ำล้นมี พิธีไล่น้ำ ได้แก่ แข่งเรือ, เห่เรือวิงวอนร้องขอให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวกำลังออกรวงในนา
พระเจ้าแผ่นดินในรัฐจารีตต้องทำพิธีขอฝนและไล่น้ำ พบในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา
ขอฝนกับไล่น้ำ พิธีกรรมในศาสนาผี เป็นวัฒนธรรมร่วมของบ้านเมืองในภูมิภาคอุษาคเนย์ เพราะอยู่ในเขตมรสุมเดียวกัน ต้องเผชิญวิกฤตร่วมกันทุกปีที่รู้ทั่วกันว่าฝนแล้งและน้ำท่วม
พิธีขอฝนและไล่น้ำ นักวิชาการทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีสรุปว่าเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ เพื่อความเจริญในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร
ไทยเป็นส่วนหนึ่งของอุษาคเนย์ มีบรรพชนร่วมและมีวัฒนธรรมร่วมในพิธีกรรมของฝนและไล่น้ำ แล้วยังทำต่อเนื่องและสืบทอดถึงทุกวันนี้ ย่อมเป็นพยานอย่างดีว่าคนไทยไม่ได้มาจากไหน? คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์ แต่ใครจะเชื่อว่ามาจากที่โน่น ที่นั่นและที่ไหนๆ ก็ตามใจชอบ
แห่นางแมวขอฝน
คนเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ถึงหน้าแล้งร่วมกันแห่นางแมว ขอฝน (กรอบสี่เหลี่ยมมุมมน) ตีฆ้องกลองกบ (กรอบวงกลม) หญิงชายร่วมเพศ ซึ่งเรียกสมัยหลังว่าปั้นเมฆ (ด้านล่าง)
[ลายเส้นคัดลอกของกรมศิลปากรจากภาพเขียนอายุราว 2,500 ปีมาแล้ว ในถ้ำตาด้วง บ้างวังกุลา ต. ช่องสะเดา อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี]
แห่นางแมวขอฝน ด้วยความเชื่อว่าแมวมีอานุภาพบันดาลให้มีปลาและน้ำ เพราะแมวกินปลา ส่วนปลามากับน้ำหลังฝนตก จึงเล่นสาดน้ำใส่แมว เป็นสัญลักษณ์ของฝนตกหนักจนน้ำท่วม มีความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร (คำอธิบายนี้ได้จากเอกสารของกัมพูชา)
ภาพเขียน 2,500 ปีมาแล้ว ในถ้ำตาด้วง (กาญจนบุรี) มีรูปคนแบกหามคล้ายภาชนะแห่นางแมว จึงน่าจะสื่อถึงพิธีกรรมขอฝนด้วยการแห่นางแมว แต่นักโบราณคดียังอธิบายอย่างอื่นต่างจากนี้ได้อีกกว้างขวางอย่างไม่ยุติ
คางคกยกรบขอฝน
คางคก เป็นคำไทยภาคกลาง ตรงกับ คันคาก เป็นคำลาวลุ่มน้ำโขง เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กลุ่มเดียวกับกบ, เขียด
คางคกยกรบขอฝน เพราะฝนแล้งแห้งมาก เป็นนิทานยิ่งใหญ่ของคนในอุษาคเนย์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว แต่เรียกเป็นคำลาวว่าพญาคันคาก หรือตำนานจุดบั้งไฟ เพื่อบงการให้ฝนตก
พญาคันคาก เป็นคำบอกเล่าเรื่องของคันคากที่มีผิวหนังตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดน่ากลัว ระดมปลวกขนดินทำทางจากดินขึ้นถึงฟ้า แล้วพาพรรคพวกสารพัดสัตว์เดินขึ้นตามทางไปรบกับแถนบนฟ้าที่ควบคุมน้ำ ให้ปล่อยน้ำเป็นฝนตกลงดินตามฤดูกาล เพื่อชาวนาชาวไร่มีข้าวปลาอาหารเลี้ยงชีวิต
กบ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของคน เมื่อหลายพันปีมาแล้ว เชื่อว่ากบบันดาลน้ำฝนได้ ทำให้ข้าวปลาอาหารมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ เลี้ยงชีวิตคนทั้งชุมชน คนจึงมีจินตนาการ สร้างคำบอกเล่าต่างๆ มากมายหลายเรื่องสืบต่อกันมา แต่ที่แพร่หลายกว้างขวางมากสุด คือ พญาคันคาก หรือตำนานการจุดบั้งไฟ
กบ มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิง ให้กำเนิดคนทั้งหลาย สมัยก่อนคนจึงเรียกอวัยวะเพศหญิงว่ากบ ส่วนของเด็กหญิงเรียกเขียด
ท่ากบ กางแขน กางขา เป็นท่าตั้งเหลี่ยมของโขนกับละคร ที่ได้จากท่ากบ (ไม่มาจากอินเดียตามที่เคยครอบงำมานาน)
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่