ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | อธิษฐาน จันทร์กลม |
เผยแพร่ |
กว่าพันปีที่บรรพบุรุษไทยคิดค้นภูมิปัญญารักษาโรคด้วยสมุนไพร ที่ทุกอณูของดอก กิ่ง ราก ใบ คือแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ แต่เมื่อการแพทย์สมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพลแพทย์แผนไทยก็เลือนหายไปนับร้อยปี
ทว่า ใครจะคิด สมุนไพรกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหลังกระแสโคโรนาไวรัสโหมกระหน่ำ จนตลาดนัดแหล่งท่องเที่ยวที่อดีตเสียดแน่นไปด้วยชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ถึงกับเงียบเป็นป่าช้า แต่ผู้คนถอยห่างระแวงกันเอง หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือขาดตลาด ในบรรยากาศที่สังคมถูกห้อมล้อมด้วยข่าวปลอม-ข่าวลือ
ล่าสุดชาวบ้านแห่ซื้อ ฟ้าทลายโจร หลังมีกระแสข่าวว่าพืชชนิดนี้อาจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อได้
แม้จะไม่มีข้อยืนยันและยังไม่มียาตัวไหนที่รักษาและทำให้หายขาด แต่ถือว่าก็ยังมีหวัง เมื่อ ภญ.อาสาฬา เชาว์เจริญ เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ออกมายืนยันผ่านไทยพีบีเอสว่า ฟ้าทลายโจรมีคุณสมบัติโดดเด่น 3 ด้าน คือ “กระตุ้นภุมิคุ้มกันได้ดี” “มีฤทธิ์ต้านอักเสบ” และยังมีรายงานเรื่อง “การต้านไวรัส” ได้ดี โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แพทย์หญิงยังชี้อีกว่า มีการจดสิทธิบัตรในจีนหลังโรคซาร์สระบาดว่า “ฟ้าทลายโจรสามารถต้านไวรัสซาร์สได้” ซึ่งเป็นโคโรนาไวรัสตัวหนึ่ง จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่กำลังแพร่ระบาด ถึงอย่างนั้น ทางรอดที่ดีที่สุดคือ “สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง” อาจต้องหันกลับมามองวิถีดั้งเดิมของคนตะวันออกที่ยังคงศรัทธาในการพึ่งพิงธรรมชาติ ด้วยเชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่ก็ปรับรับเอาความทันสมัยเข้ามาผสมได้อย่างกลมกลืน
ขับเคลื่อนถูกทาง สมุนไพรไทยสู่ความยั่งยืน
ไม่เฉพาะซีกตะวันออก ด้านตะวันตกก็นิยม เห็นได้จาก “เยอรมนี” ประเทศที่ส่งออกยาเคมีชั้นนำของโลก กลับบริโภคและผลิตสมุนไพรมากเป็นอันดับหนึ่ง แล้วนี่หรือจะไม่ถือเป็นโอกาสของไทย ในการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติที่หลากหลาย ผนวกภูมิปัญญาบรรพบุรุษ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อทดแทนการนำเข้ายาแผนปัจจุบัน อีกมุม ถือว่าสิ่งที่รัฐขับเคลื่อนนั้นมาถูกทาง บนเส้นทางพัฒนาสมุนไพรไทยสู่ความยั่งยืน หลังจากที่มีการประกาศใช้ แผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 (2560-2564) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2559 ก็มีการวางเป้าหมายเพื่อต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน
และหลังพระราชบัญญัติสมุนไพร บังคับใช้กฎเกณฑ์ตามมาตรฐาน GMP ภายใต้อำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โรงงานผลิตยาไม่ว่ารัฐหรือเอกชนต่างปรับตัวอย่างแข็งขัน เพิ่มศักยภาพและยกระดับคุณภาพในการผลิตให้ได้ตามมาตรฐาน PIC/s และ GMP ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนตกลงใช้ร่วมกัน โดยปรับปรุง “อาคารสถานที่” “ระบบอากาศ” ไปจนถึง “ระบบควบคุมคุณภาพน้ำ” ที่ใช้ในการผลิตยา “เปลี่ยนเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูง” และ “เพิ่มกำลังการผลิต” ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงอาคารสถานดังกล่าว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง อันจะส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตยาจำหน่ายในประเทศได้มากขึ้น และลดปัญหาการนำเข้ายาพื้นฐานได้อย่างที่คาดหวัง
อย่างไรก็ดี การทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการทดสอบได้มาตรฐานสากล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉียด 4 หมื่นล้าน และกว่าร้อยละ 40 ต้องส่งไปทำในต่างประเทศ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงจัดตั้ง ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) ขึ้น เพื่อให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามมาตรฐานต่างๆ สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาสินค้าด้วยเครื่องมือห้องปฏิบัติการ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ซึ่งทาง ดร.สมนึก สุชัยธนาวนิช ที่ปรึกษา กองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ยินดีเปิดห้องแล็บ พาชมนวัตกรรม กระบวนการสกัดและผลิตสารจากสมุนไพร ตั้งแต่ต้นจนปลายน้ำ เพื่อให้เห็นความพร้อมของอุตสาหกรรมยาอีกแขนง
เริ่มตั้งแต่การวิจัย ไล่ไปโรงเรือนเพาะกล้ากัญชง จนมาหยุดอยู่โรงงานผลิตยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์กัญชา ก่อนจะสาธิตวิธีวิเคราะห์และการสกัดสารจากกัญชา รวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ
เพราะก่อนจะต่อยอดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม ต้องมีการพัฒนางานวิจัยเพื่อยืนยันประสิทธิภาพ ซึ่งต้องใช้เครื่องมือราคาสูง NCTC จึงถือเป็นสถาบันหลักในการดำเนินนโยบายรัฐ ให้บริการตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง ในรูปแบบศูนย์เครือข่ายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยทำงานร่วมกับศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ 18 แห่ง รองรับอุตสาหกรรมภาคเอกชนระดับใหญ่ไปจนถึงรายย่อย จุดเด่นคือสามารถพัฒนาวิธีวิเคราะห์ให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ได้ ด้วยเครื่องมือชั้นสูงที่เพียบพร้อม บางตัวเป็นเครื่องแรกเครื่องเดียวของไทย หรือภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยไปสู่ตลาดโลก
อย่างเครื่อง Imaging Mass Microscope (IMS) ในเอเชียมีเพียง 3 ประเทศ คือ ไทย จีน ญี่ปุ่น เป็นเครื่องแสดงภาพและพื้นผิวโดยการจะยิงเลเซอร์เข้าไปยังชิ้นเนื้อตัวอย่างเพื่อดูการกระจายตัวของสาร ดูได้ทั้งพืชและชิ้นเนื้อที่สไลด์เป็นแผ่นบางๆ ซึ่งจะร่นระยะเวลาการทดสอบจาก วัน หรือสัปดาห์ ให้เหลือเพียงครึ่งชั่วโมงก็รู้ได้ว่ามีสารอะไรอยู่ ณ จุดไหน มีการกระจายตัวอย่างไรบ้าง ในการวิจัย ใบพืช รากพืช ก้านพืช จะถูกทดสอบการกระจายตัวเพื่อเลือกส่วนไปสกัดดึงสารสำคัญมาใช้งาน จากนั้นดูการกระจายของสารที่ซึมบนผิวคนหรือผิวสัตว์ ซึ่งเครื่องสามารถบอกระยะเวลา การซึม และดูได้ว่ามีการเปลี่ยนฟอร์มของสารออกฤทธิ์หรือไม่ สามารถลดระยะเวลาการวิจัยได้ถึง 10 ปี
ทั้งหมดนี้ดีไซน์หลักๆ มาเพื่องานด้านยาเพื่อรักษามะเร็ง ซึ่งในเรื่องกัญชา ต้องบอกว่าศูนย์ NCTC อยู่ในขั้นตอนยื่นขอใบอนุญาตครอบครองจาก อย. จึงยังไม่สารถทดสอบตัวกัญชาได้จริง แต่กำลังพัฒนาวิธีวิเคราะห์เพื่อรองรับหลังจากได้รับใบอนุญาต โดยจะสามารถเปิดวิเคราะห์ด้านกัญชาได้ทันที ซึ่งตัวอย่างทดสอบจากเครื่องนี้ สามารถเอา THC CBD มาทดสอบกับเนื้อเยื่อเพื่อดูว่าสารหลักจะออกฤทธิ์อย่างไร จัดการมะเร็งได้หรือไม่
เรือนกัญชง-ห้องเก็บกัญชาของกลาง
ก่อนจะไปต่อที่ห้องแพทย์แผนไทย เดินผ่านเรือนปลูกกัญชง สายพันธุ์ที่นำมาทำไฟเบอร์ คุณหมอบอกว่า ปลูกเพียง 90 วันก็สูงเฉียดเพดาน ตอนนี้กำลังรอเก็บเกี่ยว
ขอพาไปดูจุดศึกษาและทดสอบวิจัย ที่ “ห้องผลิตน้ำมันกัญชา” รวบรวมทุกขั้นตอนไว้เสร็จสรรพ ตั้งแต่ผลิต บรรจุ ปิดฉลาก เข้าได้ด้วยลายนิ้วมือ ห้อมล้อมไปด้วยวงจรปิดกว่า 30 กล้องที่จดจ้องเรา และพร้อมเก็บไว้ 1 ปี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครเล็ดลอดอะไรออกไปจากห้องนี้
ภายในประกอบด้วย “ห้องเก็บกัญชาของกลาง” ที่ ป.ป.ส.ยึดมากว่า 800 กิโลกรัมบรรจุในถุงกระสอบ อีกห้องผลิต “น้ำมันสูตร อ.เดชา” โดยการสกัดน้ำมัน ต่างประเทศจะใช้ “น้ำมันมะกอก” เป็นตัวทำละลาย ส่วนไทยใช้น้ำมันมะพร้าวเพราะเราผลิตได้มาก ห้องติดกัน คือ “ฟินิชโปรดักต์” บรรจุหีบห่อหลังผลิตยาแล้วเสร็จ แต่ละห้องเข้าได้ 3 คน แยกส่วนกัน
ด้านการผลิตมีเครื่อง Sepbox เป็นเครื่องที่นำเข้าจาก เยอรมนี ราคา 14 ล้านบาท สามารถแยกสารมาตรฐานได้ 350 กรัมต่อวัน 1 เครื่องเพิ่มกำลังการผลิตได้เทียบเท่า 28 เครื่อง หากต้องการสาร THC หรือ CBD เพียว 100 เปอร์เซ็นต์ กองยาฯจะแยกด้วยเครื่องนี้ ก่อนจะส่งไปตรวจค่า GCMF หาความบริสุทธิ์ที่แล็บ ถัดกันยังมีห้องตรวจวิเคราะห์คุณภาพ เพื่อหาสารตั้งต้นในกรณีที่ไม่รู้ว่าสารสำคัญยาในแผนไทยนี้คืออะไร ซึ่งกัญชงและกัญชาก็จะต้องผ่านการตรวจสาร THC CBD CBG CBM ที่นี่
น้ำมันศุขไสยาศน์-สนั่นไตรภพ
เมื่อถามว่าจะมียาสมุนไพรอะไรออกสู่ท้องตลาด คุณหมอพาเข้าไปดูใน ห้องผลิตน้ำมันกัญชา ก่อนจะบอกว่า หลังจากนี้ ห้องนี้จะผลิตน้ำมันตำรับอื่นๆ โดยมีน้ำมันทั้งหมด 16 ตำรับ ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรก จะทำ 3 ตำรับก่อน คือ น้ำมันกัญชา น้ำมันศุขไสยาศน์ เพื่อรักษาโรคริดสีดวง และต่อด้วย น้ำมันสนั่นไตรภพ
ดร.สมนึกบอกว่า กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนเรื่องการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งโรงงานแห่งนี้เป็นของกรมการแผนแพทย์ไทยและการแพทย์ทางเลือก ในการผลิตตำรับที่มีส่วนผสมของกัญชาทางการแพทย์แผนไทย โดยขณะนี้มีการผลิตอยู่ 3 สูตร คือ “น้ำมันกัญชาสูตร อ.เดชา” ซึ่งผลิตให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ในขนาด 5 ซีซี แพค 50 ขวด ส่งป้อนโรงพยาบาลของรัฐ
ส่วนอีก 2 สูตรเร็วๆ นี้จะผลิตน้ำมันศุขไสยาศน์ ตำรับยาแผนไทยศุขไสยาศน์เป็นตำรับยาริดสีดวงและโรคผิวหนัง ซึ่งผลผลิตจะส่งมอบให้โรงพยาบาลต่างๆ ส่วนวัตถุดิบ ขณะนี้มีแหล่งปลูกอยู่ 2 แห่ง คือ วิสาหกิจทุ่งแพม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ผลผลิตที่จะส่งมาที่นี่ รอบแรกประมาณ 2,000 ต้น และผลิตเป็นยาแผนไทยส่งให้โรงพยาบาล นอกจากนี้ วัตถุดิบสัดส่วนหนึ่งจะปลูกที่ชั้น 4 ของ สวทช. โดยจะนำช่อดอกสดของกัญชามาทำยา ผู้ป่วยแต่ละโรคที่เหมาะสมกับยา ก็จะถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์แผนไทยฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่สถานบริการทางการแพทย์ของรัฐ
เมื่อถามถึงมาตรฐาน กองยาแผนไทยยืนยันด้วย FMP (Fundamental Manufacturing Practice Certificate) ผลิตโดยเภสัชกร และมีการตรวจรับรองคุณภาพตัวยาโดยใช้ห้องแล็บที่มีการตรวจ THC และ CBD และ Stability Test เป็นเวลา 4 เดือน เพื่อดูความคงตัวของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ใน “เชลฟ์ไลฟ์” ว่าจะมีอายุได้ถึง 2 ปีจริงหรือไม่
ส่วนกำลังการผลิตปัจจุบันและอนาคตจะเพียงพอหรือไม่ ดร.สมนึกยอมรับว่า เนื่องจากตำรับ อ.เดชา ต้องเก็บข้อมูลการวิจัยว่าผู้ป่วยที่ใช้ รักษาโรคอะไรได้บ้าง และผู้ป่วยทุกคนที่มารับบริการเป็นผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด มีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้มียอดสั่งใช้ในเดือนมกราคม 2563 ประมาณ 7,000 กว่าขวด และมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งณะนี้เรามีกำลังผลิตต่อวัน ประมาณ 3,000 ขวด
“กัญชงเป็นนโยบายหนึ่งที่จะปลดล็อกออกจากยาเสพติดเพื่อใช้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย มีสารหลัก คือ CBD แต่ไม่มี THC ที่เป็นสารเมาในบางประเทศจึงใช้ใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม อาหารเสริม หรือเครื่องสำอาง ซึ่งขณะนี้เรากำลังทำการพัฒนาสายพันธุ์กัญชง เพื่อให้ได้ CBD สูง THC ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎเกณฑ์ของ อย.คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการปลูกให้เป็นพืชเศรษฐกิจอย่างแท้จริง” ดร.สมนึกกล่าว ก่อนจะเปิดมุมมองด้วยว่า
ในอนาคตอันใกล้ กัญชงจะมีวิธีปลูก 2 ระบบ คือ เอาต์ดอร์ ปลูกเพื่อเอาไฟเบอร์มาใช้ในการทำเครื่องมือ เครื่องนุ่งหุ่ม และที่อยู่อาศัย จาก Hemp Concrete และอีกระบบคือใช้เพื่อการแพทย์ เอา CBD จากดอก และน้ำมันจากเมล็ด (Hemp Oil) ซึ่งมีโปรตีน ซิลิก้า โอเมก้า 3 6 และ 9 ที่สูงมาก เหมาะในการทำอาหารเสริม เพื่อใช้ทำยาเครื่องสำอางด้วย
ด้านสถาบันการศึกษา อย่าง สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAP) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดแล็บให้ชมการสกัดสารจากวัตถุดิบธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นศักยภาพในการวิจัยและพัฒนายาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรโดยคนไทย ได้ตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ
ศักยภาพ ‘ยาไทย’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียนอินฟอร์มาร์ มาร์เก็ต ประเทศไทย บอกว่า สารสกัดเป็นอีกธุรกิจที่สามารถพัฒนาได้เป็น 3 อย่าง คือ 1.สารสกัดเพื่อพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ยา 2.สารสกัดเพื่อเป็น Food supplement สมุนไพรที่ใช้ในการป้องกัน และเป็นตัวเสริม เพื่อสอดรับกับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต และ 3.สารสกัดเพื่อทำเส้นใย
ก่อนจะยืนยันว่า เมืองไทยมีศักยภาพในการผลิตสารสกัดเพื่อพัฒนาต่อยอด เป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ทั้งสเกลเล็กใหญ่
แต่จะทำอย่างไรให้คนไทยมองเห็นศักยภาพ และผลผลิตทางการเกษตรกของไทย
ถือเป็นโอกาสดี CPhI south east Asia 2020 งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยาครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังจะกลับมาอีกครั้ง วันที่ 4-6 มีนาคมนี้ ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพคเมืองทองธานี
เปิดพื้นที่แห่งโอกาสแก่นักธุรกิจนักลงทุนนักวิจัยแพทย์เภสัชกรและบุคคลทั่วไปที่เห็นโอกาสในอุตสาหกรรมยาและสารสกัดจากธรรมชาติมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เจรจาธุรกิจการค้า
เพราะนอกจากสมุนไพรจะรักษาโรคทั่วไปแล้ว ยังมีสรรพคุณรักษาโรคเรื้อรังที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ว่าความดันเลือด หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ซึ่งล้วนเป็นโรคยอดนิยมของประชากรไทย ในขณะที่ยาสมุนไพรที่สามารถพัฒนารักษากลุ่มโรคนี้มีมากมายในไทย แต่รู้จักกันเพียงแค่ ขมิ้นชัน ไพล และฟ้าทลายโจร ก็อาจเป็นการเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าการส่งออกลดการนำเข้า รวมทั้งสร้างระบบการแพทย์แผนไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนได้ในประเทศ
ด้วยความห่วงใย รัฐอาจต้องมีแผนพัฒนาตั้งแต่การปลูกที่ได้มาตรฐาน ซึ่งต้องเชื่อมโยงตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย