ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ชนากานต์ ปานอ่ำ |
เผยแพร่ |
แม้ข่าวคราวการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จะคืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ต้องไม่ลืมว่า ณ ห้วงเวลาหนึ่งโลกทั้งใบได้หยุดชะงักลงจากการระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว ผลกระทบของมันไม่เพียงคร่าชีวิตคนไปกว่า 6.5 แสนราย แต่ยังแช่แข็งภาคเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งส่วนการลงทุนและการท่องเที่ยว จนยากแก่การฟื้นฟู
ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน จึงเป็นชื่องานสัมมนาครั้งล่าสุด จัดโดย เครือมติชน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เพื่อเปิดแผนฟื้นฟูประเทศไทยในมิติทางกระทรวงคมนาคมหลังวิกฤตโควิด-19
หัวใจของงานนี้อยู่ที่ การลงทุน ในโครงการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นทางออกสำคัญ ดังคำกล่าวเปิดงานโดย ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายและแผนงานการลงทุนเตรียมไว้แล้ว โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่มีกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายไปโดยลำดับ ถึงเวลาแล้วที่เครื่องยนต์ด้านการลงทุนต้องกลับมาทำหน้าที่เดินเครื่อง สร้างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมมือกันผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของคนไทยให้ได้มากที่สุด ในมุมมองของมติชน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตคนไทยอย่างมาก เพราะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ การกระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสในการทำมาหากินให้กับประชาชนทุกระดับ จากชนบทจนถึงในเมือง
“เป็นการลงทุนระยะยาวที่รับผลประโยชน์หลายชั่วอายุคน”
ชูธง 3 กระทรวงขับเคลื่อน ‘ไทยเฟิร์สต์’
ดันเงินหมุนเวียน สร้างประเทศมั่นคง
งานวันนั้นคลาคล่ำไปด้วยบุคคลสำคัญจากแวดวงคมนาคม ทว่า แม้จะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานล้นหลามเพียงใด ผู้จัดงานก็ยังคำนึงถึงหลักความปลอดภัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โดยจำกัดจำนวนผู้ร่วมงาน ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด นิว นอร์มอล พร้อมปฏิบัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด
มีจุดคัดกรองอุณหภูมิร่างกายผู้เข้าร่วมงาน บริการจุดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างเก้าอี้ และผู้ร่วมงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย พร้อมจัดไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก “มติชนออนไลน์” เพื่อไม่ให้ทุกคนพลาดการติดตาม
งานนี้ได้รับเกียรติจาก อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน ควงคู่มากับ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
รมว.สธ.ขึ้นเวทีกล่าวขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดสัมมนาครั้งนี้ที่ได้เริ่มสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยการจัดสัมมนาให้ประเทศไทยเดินหน้ากลับเข้าสู่ภาวะปกติให้มากที่สุด พร้อมให้ความมั่นใจว่าสาธารณสุขไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้
“เราต้องเป็นผู้ชนะ ดังสุภาษิตต่างประเทศ A Winner sees opportunities in every problem, a Loser sees problems in every opportunity ผู้ชนะมักจะเห็นทางออกหรือโอกาสในปัญหา
ทุกปัญหา แต่ผู้แพ้เท่านั้นที่จะเห็นปัญหาในทุกๆ โอกาส
“วิกฤตโควิด-19 ไทยเราชนะมาโดยตลอด และไทยไม่ใช่ประเทศด้อยพัฒนาหรือไม่มีโอกาส ในวิกฤตโควิด-19 ทำให้ประเทศอื่นมองหาประเทศพื้นที่ในการลงทุน ด้วยการควบคุมโรคที่ดีของไทยจึงมีชื่อเสียงใหม่สำหรับนักลงทุนคือประเทศที่ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เมื่อเดินทางเข้ามาเมืองไทยแล้ว เกิดการป่วยติดเชื้อก็สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ บก และน้ำ จะขึ้นมารองรับการขยายตัวเศรษฐกิจไทย”
อนุทินกล่าวว่า สิ่งที่ตนและนายศักดิ์สยามจะทำคือการมอง 3 กระทรวงให้เป็นคลัสเตอร์ที่เอื้อกัน ทั้งการคมนาคม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว หลักการคือ ไทยเฟิร์สต์ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่า
จะสนามบิน ท่าเรือ ระบบราง จะต้องเกิดขึ้นในไทย ทั้งหมดใช้ของไทย เว้นแต่อะไรที่คนไทยไม่มีถึงจะให้ต่างชาติเข้ามาเป็นผู้ขายและซื้อมาต่อยอด พร้อมกับใช้แรงงานไทยให้มากที่สุด
“ไทยต้องใช้ระบบเงินหมุนให้ได้ 8 รอบ ถ้าเรามีเงิน 2 แสนล้านบาทแล้วไม่ได้ใช้ สู้มีเงิน 100 ล้านบาทแล้วหมุนได้ ซึ่งจะทำให้เงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาด้วย เผลอๆ ไม่เกิน 1 ปี เศรษฐกิจจะกลับมาดีเหมือนเดิม โควิด-19 ทำร้ายเรา แต่ก็ทำร้ายเราได้เพียงระยะหนึ่ง หลังจากนี้เราจะเอาคืนกลับมา รัฐบาลนี้คิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ความแข็งแกร่งกลับสู่ประชาชน
“โครงการจาก 3 กระทรวงนี้จะทำให้มีเงินหมุนเวียน เงินที่หมุนมา หมุนไป จะพาไทยกลับมามั่นคง”
‘คมนาคม’ ลุยงาน 4 มิติ ‘บก-ราง-น้ำ-อากาศ’ บูม ศก.ไทย
ศักดิ์สยาม ในฐานะเจ้ากระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงภารกิจของกระทรวงในการพัฒนา 4 มิติ คือ การพัฒนาระบบคมนาคม ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ โดยมุ่งเน้นพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชน
รมว.คมนาคมกล่าวว่า 1.ด้านทางบก อาทิ เร่งรัดการก่อสร้างขยายช่องจราจรถนนพระราม 2 โดยเร็ว 2.ทางราง อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (รถไฟไทย-จีน) และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 3.ทางน้ำ อาทิ
การพัฒนาเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการเดินทางขนส่งระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน โดยการสร้างแลนด์บริดจ์ ใช้มอเตอร์เวย์กับรถไฟรางคู่เชื่อมต่อท่าเรือน้ำลึก และ 4.ทางอากาศ อาทิ เพิ่มขีดความสามารถ
การให้บริการของท่าอากาศยาน เช่น พัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2, เร่งเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง จ.ยะลา
“หากโครงการด้านคมนาคมและด้านการขนส่งดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ของอาเซียนได้ เชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้เข้ามาในประเทศได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่คมนาคมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเกษตรกรชาวสวนยาง นำยางพาราแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยด้านคมนาคม อาทิแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต, แบริเออร์ เพื่อลดอุบัติเหตุทางท้องถนน ศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพิ่มการรองรับจากเดิม 90 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม. โดยแบริเออร์ไม่ระเบิด และลดการพุ่งข้ามเลนเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งได้รับการยืนยันจากสถาบันในเกาหลีใต้ว่าแบริเออร์ดังกล่าวทนทานต่อการเกิดอุบัติเหตุจริง
“เกษตรกรจะได้เงินจากโครงการดังกล่าวประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบการก่อสร้างเกาะกลางถนนของกรมทางหลวง การนำยางพารามาทำแบริเออร์ถือว่ามีราคาถูกและมีคุณภาพ คาดว่าในช่วงเดือนสิงหาคมนี้นายกรัฐมนตรีจะนำโครงการนี้ขึ้นมาพิจารณา”
‘ภาครัฐ’ แจงลงทุนตอบสนองประชาชน
ทอท.ไม่หวั่นโควิด-เดินหน้าทุกแผนงาน
อีกหนึ่งพาร์ตสำคัญในงานสัมมนาคือเวทีพูดคุยของ 6 หน่วยงานรัฐและเอกชน ซึ่งจะมาคลี่แผนงานการลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน ดังชื่องานครั้งนี้ โดยมี บัญชา ชุมชัยเวทย์ พิธีกรรายการและผู้ประกาศข่าว ดำเนินรายการ
ชยธรรม์ พรหมศร ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อธิบายอย่างกระชับว่า สนข.ทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายมาสู่การวางแผนและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตามหน้าที่และภารกิจของกระทรวงคมนาคมคือสร้างและอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งคนขนส่งสินค้า
ดังนั้น กระทรวงต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สร้างจุดเชื่อมต่อ และอำนวยความสะดวกให้การเชื่อมโยงของสินค้าเป็นไปในลักษณะที่ไม่มีรอยต่อ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการประชาชน 4 เป้าหมายหลัก คือ อำนวยความสะดวก ปลอดภัย ตรงต่อเวลา และราคาสมเหตุสมผล
ขณะที่อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) สราวุธ ทรงศิวิไล เปิดเผยว่า ทล.มีงบลงทุนปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ดำเนินกว่า 5,000 โครงการต่อปี เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และกว่า 90% เป็นงานส่วนการจ้างเหมา ทำให้มีผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการจำนวนมาก เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบหลายรอบ เพราะมีการซื้อวัสดุอุปกรณ์จากผู้ประกอบการด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ เพียงแค่ช่วงแรกของการทำงานจะหมุนไปไม่ต่ำกว่า 3-4 รอบ หรือคิดเป็น 3 เท่าของมูลค่าการลงทุนที่ลงทุนไปทั้งหมด
ในส่วนแวดวงการบิน นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ให้การยืนยันว่า แม้เกิดการระบาดโควิด-19 ขึ้นมา ทอท.ก็ไม่ชะลอแผนการลงทุน เนื่องจากแผนการขยายสนามบินที่วางไว้ทุกแผนงานจะแล้วเสร็จภายหลังปี 2565 ในช่วงที่จำนวนผู้โดยสารตกท้องช้างในปี 2563-2565 ก่อนที่ผู้โดยสารจะกลับมาเท่าเดิม ทอท.จึงต้องดำเนินการตามแผน
ลงทุนที่วางไว้ เพื่อเตรียมรองรับผู้โดยสารที่จะกลับมาเท่าช่วงปกติ
ขนส่งสาธารณะต้องเชื่อมต่อ
รฟม.จ่อลุย ‘อาคารสูง’ ช่วย ศก.หมุน 10 เท่า
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รับผิดชอบนั้น ภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. ให้ความมั่นใจว่า อีกไม่นานจะสร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชนแน่นอน ขอให้อดทนอีกนิด โดยล่าสุด รฟม.อยู่ระหว่างประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม ลงทุนรวม 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเมื่อนำไปคูณวงรอบ 7-8 รอบ จะมีมูลค่าถึง 1.5 ล้านล้านบาท
“รฟม.ยังพัฒนาเมืองให้มีอาคารสูง คอนโดมิเนียม มีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาจับจองพื้นที่ ทำให้ตัวเมืองมีการพัฒนาเศรษฐกิจแนวดิ่ง-สูงมากขึ้น เพิ่มการหมุนรอบทางเศรษฐกิจได้อีก 5-10 เท่าตัว”
ด้าน สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้า 4 เส้นทางที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งทั้งหมดคืบหน้าและพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน โดยมีส่วนที่ลงทุนเองและร่วมกับพาร์ตเนอร์ ขณะเดียวกันก็ยังร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นระบบคมนาคมขนส่งอื่นๆ อาทิ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก, โครงการมอเตอร์เวย์ 2 สาย
ที่สำคัญ บีทีเอสซียังหวังชนะการประมูลโครงการสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) ของ รฟม.ที่มีมูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มประมูลใน 2 เดือนข้างหน้านี้
ปิดท้ายที่ “รถเมล์” ขนส่งสาธารณะที่ประชาชนยังจำเป็นต้องพึ่งพา โดย สุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เน้นย้ำเรื่อง “การยกระดับ” ทั้งเปลี่ยนรถ การใช้ตั๋วร่วม พร้อมๆ กับพัฒนาบัสเลน เพื่อกำหนดระยะเวลาเดินทางได้แม่นยำ
“ขสมก.ต้องทำให้ประชาชนรู้สึกเช่นเดียวกับการใช้ขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน คือเดี๋ยวก็มา ไม่ใช่ความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะมา”
ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองด้านการลงทุนที่ต่างมุ่งหวังฟื้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างชาติ พยุงประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 แต่ถ้าใครอยากฟังมุมมองด้านการท่องเที่ยว พบกันอีกครั้งที่งานสัมมนาสำคัญแห่งปี “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” วันที่ 2 ส.ค.63 ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ รางน้ำ
อีกหนึ่งงานจาก “มติชน” เพื่อร่วมหาทางออกให้ประเทศ