ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
เผยแพร่ |
กลายเป็นที่ถกเถียงหนักมาก แม้กระทั่งฝ่ายหนุนประชาชนปลดแอก สำหรับเหตุการณ์ ‘สาดสี’ ใส่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ โดย ไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ ‘แอมมี่’ เดอะบอททอมบลูส์ ศิลปินชื่อดังหลังไปให้กำลังใจ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และกลุ่มรวม 15 คน ขณะรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อช่วงสายของวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา
ทำอุณหภูมิพุ่งพรวดทั้งวงสนทนาการเมือง ศิลปะ และสิทธิมนุษยชน ยังไม่นับวงการสีกากีที่มีมุมซึ้งโพสต์รูปซักผ้าให้น้ำตารื้น เหตุและผลในแง่มุมของตนเอง ต่างถูกหยิบยกมานำเสนออย่างน่าสนใจ บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ตามหลักสันติวิธี มีกรณีต่างประเทศมากมายให้ดูเป็นตัวอย่าง บ้างก็ว่าทำเว่อร์วังเกินกว่าเหตุ หวั่นการเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษาเสียภาพลักษณ์ บ้างก็ว่า หากเทียบกับสีแดงจากเลือดสดๆ ของเหยื่อในเหตุชุมนุมทางการเมืองแล้ว ประชาชนถูกกระทำมากกว่านั้นมากมาย บ้างก็เห็นใจตำรวจชั้นผู้น้อยที่ต้องมารับผลจากการสาดสีครั้งนี้ทั้งที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเสื้อผ้าที่เสียหาย มีผู้ระดมทุนซื้อเครื่องแบบใหม่ให้หลายต่อหลายกลุ่มจนได้เงินครบตามต้องการ ส่วนเครื่องแบบที่เลอะสีในวันนั้น สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ประกาศขอซื้อชุดละ 5,000 บาท โดยให้เหตุผลว่ามีคุณค่าทางศิลปะ
สู้ระบบ ไม่ได้สู้ตำรวจ เห็นใจ ‘ชั้นผู้น้อย’
“เรากำลังสู้กับระบบ ไม่ใช่สู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
คือข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Yannapat Boonkate’ ผู้ประกาศระดมทุนซื้อเครื่องแบบใหม่ให้ตำรวจ โดยแสดงความเห็นพร้อมติดแฮชแท็กว่า
“#ไม่เห็นด้วยกับการสาดสีตำรวจ เพราะเรากำลังสร้างความเดือดร้อนให้คนตัวเล็กตัวน้อย เรากำลังสู้กับระบบ ไม่ใช่สู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สิ่งที่ทำคือการผลักภาระให้ตำรวจอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา เครื่องแบบตำรวจต้องออกเงินซื้อเอง ร่วมกันซื้อชุดใหม่ให้ตำรวจ เพราะแสดงให้เห็นว่าประชาชนเห็นว่านี่คือสิ่งผิด เกินกว่าเหตุ แสดงให้เห็นว่าประชาชนขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แสดงให้เห็นว่าประชาชนอยู่ข้างตำรวจ และตำรวจก็ควรอยู่ข้างประชาชน อย่าผลักไสตำรวจชั้นผู้น้อยเลยครับ เขาแค่ทำตามคำสั่ง ถ้าไม่ทำ ลูกเมีย ครอบครัวเขาก็เดือดร้อน ขอเน้นย้ำว่า #เรากำลังสู้กับระบบไม่ใช่บุคคล”
เช่นเดียวกับความเห็นของ ไผ่ ดาวดิน เอง ที่ให้สัมภาษณ์หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ว่า ขอโทษกับเหตุการณ์ที่มีผู้สาดสีใส่ตำรวจเมื่อช่วงเช้า หลังจากนี้ จะระดมเงินซื้อชุดเครื่องแบบใหม่ให้ ยืนยันว่าไม่ได้สู้กับตำรวจ แต่สู้กับระบบ เพราะพวกคุณเป็นตัวแทนผู้มีอำนาจ หากทำตามคำสั่งนายแล้วมันขัดกับสำนึก ทุกคนล้วนมีราคาต้องจ่าย หากท่านปลดแอกตัวเองจากระบบนี้ได้ ก็ไม่ต้องฟังคำสั่งใครอีก
ในขณะที่ตำรวจท่านหนึ่งเผยแพร่ภาพเสื้อที่เปื้อนสีผ่านโลกออนไลน์ พร้อมข้อความว่า
“พี่น้องร่วมอาชีพเราไปคุกคามประชาชน ไม่มีคำกล่าวใดนอกจากขอโทษ แต่น่าเสียดายที่สีติดแค่พื้นที่ที่ถูกสาด ไม่สามารถไปถึงหอคอยงาช้างได้ (พวกผู้นำ) ยังมองว่าเป็นการกระทำที่มีเหตุผล”
‘สาดสี’ สู้อย่างสันติในโลกสากล
หันไปดูมือสาด อย่าง ‘แอมมี่’ ที่ยืนยันว่า ตนเชื่อมั่นในวิธีการแบบสันติ เข้าใจว่าทุกคนมีหน้าที่และบทบาทเป็นของตัวเอง
แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดคือ การที่ยืนอยู่ในระเบียบและพยายามเรียกร้องให้ใครบางคนหันมาสนใจ แต่เรากลับถูกเพิกเฉย
ถูกมองข้าม ไม่ว่าเราจะตะโกนเสียงดังแค่ไหนก็ตาม
“ผมรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าว เปรียบเสมือนดาบสองคม ผมเพียงแต่หวังว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะทำให้ใครหลายๆ คนตระหนักถึงความสำคัญของการทวงคืนความยุติธรรม” แอมมี่ ผู้สารภาพบนเวทีที่ลานคนเมืองเมื่อ 23 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า การเปิดหน้าสู้อย่างนี้ สิ่งที่ ‘กลัว’ ที่สุดไม่ใช่การถูกคุกคาม ทว่า กลัวไม่ได้อยู่กับลูกสาว และ ‘ยอมไม่ได้’ ที่ลูกสาวจะเติบโตขึ้นในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตย
นอกจากนี้ มีข้อนำเสนอข้อมูลการสาดสีในการชุมนุมทางการเมืองในต่างประเทศว่า นี่คือเรื่องปกติ โดยหยิบยกภาพถ่ายจากการประท้วงที่กรุงบาร์เซโลนา ครั้งชาว ‘กาตาลุญญา’ ต้องการแยกตัวออกจากสเปน โดยสาดสีไปที่เจ้าหน้าที่และรถตำรวจ ด้านสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้สีฟ้าสาดไปที่ตึกระฟ้า ทรัมป์ทาวเวอร์ ที่แมนแฮตตัน เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนชาวผิวดำจากเหตุการณ์ #Black Lives Matter ฝั่งเอเชียก็ไม่น้อยหน้า เคยมีผู้ประท้วงชาวไต้หวันสาดสีแดงใส่หลุมฝังศพของ เจียงไคเช็ก อดีตท่านผู้นำไต้หวันมาแล้ว
ศิลปะ-การเมือง
พื้นที่เหลื่อมซ้อนที่ต้องดู ‘จังหวะ’?
มาถึงแวดวงศิลปะ รุ่นใหญ่อย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ไว้ว่า
“พื้นที่ศิลปะกับพื้นที่การเมืองมีความเหลื่อมซ้อนกัน กิจกรรมดี แต่จังหวะไม่เหมาะก็มีแต่ล้มเหลว โดยเฉพาะกับพื้นที่การเมืองที่อ่อนไหว”
ในขณะที่ รุ่นกลาง อย่าง อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ อาจารย์และศิลปินที่เพิ่งมีงานแสดง Momentos/Monuments & reMinders นิทรรศการที่นำเสนอประเด็นการเมืองไทยไปหมาดๆ มองต่างมุมในประเด็นการนำกรณีต่างประเทศมาเปรียบเทียบ
“เพื่อให้แฟร์ ผมคิดว่าการเอาภาพตำรวจต่างประเทศถูกสาดสีมาเทียบกันก็ไม่เข้าท่า อย่างที่หลายคนบอก มันต่างบริบท คนละเวลา เอาเมืองนอกกับเมืองไทยมาเทียบกันรูปต่อรูปแบบนี้มันวัดกันด้วยเหตุผลลำบาก ที่สำคัญข้อเรียกร้องของการชุมนุมแต่ละประเทศมันก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นใครอยากทำไรก็ทำไปเหอะ ตอนเขาเอาคืน จะไม่มีโอกาสได้ทำ”
อย่างไรก็ตาม ศิลปินท่านนั้นมองว่า สาดสี ไม่ได้รุนแรง อย่าร่วมให้ความชอบธรรมกับรัฐและคนอีกฝั่งที่พยายามโจมตีว่าม็อบเท่ากับ รุนแรง และเท่ากับ ควรโดนปราบปราม
ประเด็นนี้ นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับสารคดีชื่อดัง ลงลึกในรายละเอียดโดยตั้งคำถาม พร้อมให้คำตอบจากมุมมองของตน 2 ข้อ ว่า
1.สิ่งที่ตำรวจทำเป็นหน้าที่ ถึงแม้จะอยากทำหรือไม่อยากทำก็ตาม ก็ใช่
2.สิ่งที่แอมมี่ทำเป็นหน้าที่ของพลเมืองไหม จะว่าใช่ก็ใช่ แต่เป็นคนละหน้าที่แบบหน้าที่ของตำรวจแน่ๆ เพราะไม่มีใครมาสั่งให้ทำ และสิ่งที่แอมมี่ทำไม่ผิด และไม่ได้แรงอะไรด้วย
“เริ่มจากสองข้อนี้ก่อน ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่คนเอามาเปรียบกันว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วกลับมามองที่ไทย ตำรวจไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ในการประกอบอาชีพนี้” นนทวัฒน์ระบุโดยหยิบยกข้อมูลที่ได้จากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยมาเปิดเผยว่า ค่าเครื่องแบบผู้ชายตกราว 3,000-4,000 ตามเกรดเนื้อผ้า ชั้นสัญญาบัตรเบิกไม่ได้ต้องจ่ายเอง
ชั้นประทวนได้เงินสนับสนุนปีละ 1,500 บาท ที่เหลือต้องออกเพิ่มเอง ปืนใช้ทำงานก็ต้องซื้อเอง
“กระบอกหนึ่ง 9 มม. ถูกๆ หน่อยก็สามหมื่น อยากเสี่ยงใช้ปืนหลวงอายุงานเก่าแก่ก็ได้ แต่ใครจะอยากใช้ หายมา พังมา เป็นเรื่องชี้แจงกันอีก หมึกปริ้นเตอร์กูยังเดินไปซื้อเองที่มาบุญครองอยู่เรยคร่ะ” คือข้อความของตำรวจชั้นผู้น้อยที่ถูกอ้างถึง
มาถึงตรงนี้ นนทวัฒน์ ชวนคิดต่อไปว่า ท้ายที่สุดแล้วถ้าตำรวจต่างประเทศถูกสาดสีเช่นนี้ ตัวแปรที่ต่างกันคือความรับผิดชอบของนโยบายรัฐที่มีต่อบุคลากรของตนนั้น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
“ถ้าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบในฐานะคนที่ไปร่วมม็อบกับแอมมี่ด้วยเสื้อจิม ทอมป์สันที่เพิ่งซื้อมาใส่ไปแค่ 1 ครั้ง…แล้วสีบังเอิญสาดมาโดนเปื้อน เราคงเซ็ง แต่น่าจะเอาไปเปรียบกับกรณีของฝรั่งเศสได้ เพราะเราต้องรับผิดชอบในส่วนนี้เองคือ…รู้ตัวว่าจะไปม็อบแล้ว…จะใส่เสื้อแบบนี้มาทำไม
ส่วนประเด็นเรื่องความสงสารนั้นเป็นปัจเจกก็จริงอยู่ ลูกเมียตำรวจที่บ้านที่ไม่ได้รับสวัสดิการที่ดีพอต่อองค์กรของตนนั้นเอง ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน และในทางปัจเจกด้วย
ถ้าคิดต่อไปในกรณีอื่นๆ เช่น นายตำรวจคนหนึ่งต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในแคมป์คนงานก่อสร้างแล้วบังเอิญถังสีกระเด็นมาหกใส่ แล้วต้องมาออกค่าชุดเอง 4,000 นี่ โคตรพัง” ผู้กำกับสารคดีชื่อดังระบุ
เม็ดสี หยดเลือด
กับยุทธศาสตร์ ‘พับเพียบสู้’ ในสมรภูมิลาเวนเดอร์ ?
ปิดท้ายด้วยแง่มุมที่ถูกนำมาเปรียบเทียบอย่างสะเทือนอารมณ์ นั่นคือ หยดเลือดของประชาชนบนเสื้อผ้าที่สวมใส่ในสมรภูมิการเมือง กับสีที่ถูกสาดบนเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่รัฐ
พะเยาว์ อัคฮาด หรือแม่น้องเกด พยาบาลอาสาผู้สละชีพจากเหตุสลายชุมนุมเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“สำหรับการสาดสี วันนี้โดยส่วนตัวดิฉันถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากค่ะ ถ้าเทียบกับเมื่อปี 53 ที่ทหารยิงลูกสาวดิฉันตายในวัดปทุมฯแล้วป้ายสีว่าลูกสาวดิฉันเป็นชายชุดดำ….”
ทำเอาผู้คนเข้าไปส่งกำลังใจล้นหลาม
ในขณะที่เฟซบุ๊ก รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาแบบจัดเต็มว่า
“การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่งานเลี้ยงปาร์ตี้สังสรรค์บนทุ่งลาเวนเดอร์!”
พร้อมตั้ง 2 คำถามน่าสนใจว่า
“คนที่ไม่เห็นด้วยย่อมวิจารณ์ได้ แต่ต้องถามกลับว่า แล้วจะให้ทำยังไงอีกนอกจากนั่งพับเพียบ ลุกยืน ปราศรัยสุภาพเรียบร้อย?
ถ้าอ้างว่า เขาเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยทำตามคำสั่งนาย ก็ต้องใช้เหตุผลเดียวกันกับทหารที่สังหารคนเสื้อแดงตรงราชประสงค์และสไนเปอร์ 6 ศพในวัดปทุมฯ นั่นเขาก็ ทำตามคำสั่งนาย เหมือนกัน? เสื้อแดงที่วิจารณ์การสาดสีน่ะลืมแล้วหรือ?”
รศ.ดร.พิชิต ยังระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า
“รู้สึกรำคาญ พวกสันติวิธี เมืองไทยมานานแล้ว”
“นิยามสันติวิธีไว้คับแคบมากจนแทบจะต้องนั่งพับเพียบพนมมือ พูดรุนแรงสักหน่อยก็หาว่าเป็น Hate Speech ไปซะหมด”
ก่อนปิดท้ายว่า คนกลุ่มนี้เอาแต่ PC (Political Correctness) จนดูหล่อดูสวย ทำให้การต่อสู้แห้งแล้ง ไม่มีพลัง ขาดจินตนาการและความหลากหลาย
ทั้งหมดนี้คือ ส่วนหนึ่งของความคิดความเห็นในหลากประเด็นที่แตกหน่อไปจากหยดสี ซึ่งถูกสาดออกจากกระป๋องไปเปรอะเปื้อนบนเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รัฐ กระทั่งเกิดข้อถกเถียงและคำถามที่ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ฉีกซอง