ถ้าการเมืองดี ‘โทษประหาร’ก็ไม่จำเป็น?

‘ถ้าการเมืองดีโทษประหารชีวิตก็ไม่จำเป็น’

ไม่ใช่ข้อความจากเวทีปราศรัยในแฟลชม็อบใด หากแต่เป็นชื่องาน “End Crime, Not Life: ถ้าการเมืองดีโทษประหารชีวิตก็ไม่จำเป็น” ที่ร้านหนังสือชื่อเก๋ๆ ว่า ร้านหนัง (สือ) ๒๕๒๑ จังหวัดภูเก็ต โดยจัดร่วมกับมูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เนื่องในวันยุติโทษประหารชีวิตสากล (World Day against the Death Penalty) ที่กำหนดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คือสิทธิในการมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นการทรมานต่อร่างกายและจิตใจต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย

นพ.มารุต เหล็กเพชร ผู้ร่วมก่อตั้งร้านหนัง (สือ) ๒๕๒๑ บอกว่า คิดว่าชีวิตผู้คนเชื่อมโยงกับประเด็นต่างๆ ในสังคม รวมถึงเรื่องความยุติธรรมและโทษประหาร จึงเกิดเป็นพื้นที่การพูดคุยและนิทรรศการนี้ขึ้น จากนั้นมีการเปิดคลิปวิดีโอ โทชิ คาซามะ ช่างภาพเจ้าของผลงาน “Lives Matters” ที่สะท้อนมุมมองของช่างภาพที่มีโอกาสได้ถ่ายรูปนักโทษเยาวชนในแดนประหาร

จากนั้นเข้าสู่เวทีพูดคุยในประเด็นโทษประหาร

Advertisement

ดำเนินรายการโดย เนาวรัตน์ เสือสอาด ตัวแทนจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

เนาวรัตน์กล่าวว่า การคัดค้านโทษประหารของแอมเนสตี้ไม่ได้แปลว่าอ่อนข้อหรือยกโทษให้กับผู้กระทำความผิด ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่เป็นธรรม แต่เราเรียกร้องการเปลี่ยนในรูปแบบและวิธีการการลงโทษผู้กระทำความผิด และไม่ได้เพิกเฉยต่อความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ในโลกก็คงเป็นพวกที่ยอมให้อาชญากรรมรุนแรงเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการทักท้วง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่สมเหตุผล

Advertisement

“ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจหลักของการทำงานของเรา ดังนั้นเราจึงไม่มีวันดูแคลนความทุกข์ทรมานของครอบครัวผู้เสียหายหรืออยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างแน่นอน และมีความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้น สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนคือ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำและเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีการปล่อยคนผิดลอยนวล เพราะยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและรวดเร็วเท่าไร ยิ่งถือได้ว่าเป็นการเยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหายได้มากเท่านั้น” ตัวแทนแอมเนสตี้กล่าว ก่อนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

แอมเนสตี้ทำงานรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตในระดับสากลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 โดยมีพื้นฐานมาจากแนวคิดเรื่องสันติภาพ ประชาธิปไตย หลักแห่งกฎหมาย ซึ่งพัฒนามาเป็นกฎหมายสากลที่ได้รับการยอมกันในประชาคมโลก แม้ว่าการใช้โทษประหารชีวิตถือเป็นข้อห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีฐานความผิดที่มีบทลงโทษประหารชีวิตจำนวน 55 ฐานความผิด รวมทั้งความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แต่ก็มีความผิดหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในกฎหมายระหว่างประเทศของการเป็น “อาชญากรรมร้ายแรงที่สุด”

เนาวรัตน์มองว่า ทัศนคติและความเชื่อดั้งเดิมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เห็นได้จากเมื่อ 43 ปีที่แล้ว มีเพียง 16 ประเทศ ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต จนถึงทุกวันนี้มี 106 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกโทษประหารสำหรับความผิดทุกประเภท และ 142 ประเทศหรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในโลกเห็นว่าโทษประหารไม่ใช่คำตอบในการแก้ไขอาชญากรรมแต่อย่างใด

หนึ่งในกรณีศึกษาที่ย้อนกลับมาเป็นข่าวดังคือ “ซีอุย” ซึ่งมี ฟาโรห์ จักรภัทรานน คือผู้ทวงความเป็นธรรม

ฟาโรห์เล่าว่า เขาได้ยินเรื่องของซีอุยมาตั้งแต่เด็กว่าซีอุยเป็นชาวจีนอพยพและเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเด็กและกินเครื่องใน พร้อมกับคำขู่ของพ่อแม่ว่าระวังซีอุยมากินตับ ญาติของเขาเคยพาไปดูพิพิธภัณฑ์ซีอุย เป็นร่างแห้งๆ ถูกโชว์ในตู้กระจก ต่อมาเมื่อโตขึ้นเขาพบข้อมูลอีกชุดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเคยรู้มา คือการบอกว่าซีอุยอาจไม่ใช่ผู้กระทำความผิดและอาจไม่ใช่มนุษย์กินคน ซึ่งหนึ่งในคนที่บอกเรื่องนี้คือแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรม

“ผมเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ผมกลับไปดูร่างซีอุยอีกครั้งและมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผมไม่ได้มองว่าเป็นร่างของมนุษย์กินคน แต่นี่เป็นตัวอย่างของการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเขากระทำความผิดจริงหรือไม่ แต่เขาได้รับการลงโทษประหารชีวิตแล้ว การจัดแสดงร่างของเขาไม่ได้ให้อะไรแก่คนที่มาดูเลย คำพิพากษาในคดีฆาตกรรมเด็กคนสุดท้ายไม่มีส่วนไหนระบุว่าซีอุยเอาเครื่องในเด็กไปกิน เมื่อมีการนำร่างซีอุยไปศึกษามีประเด็นว่าซีอุยเป็นคนวิกลจริต หากเขาผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรมเขาอาจไม่โดนลงโทษประหารชีวิตก็ได้ เพราะเขาป่วย”

นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ฟาโรห์เริ่มเรียกร้องการคืนความยุติธรรมให้ซีอุย จนทางศิริราชยุติการจัดแสดงร่างและนำมาสู่การฌาปนกิจร่างซีอุย

“ผมถูกตั้งคำถามว่าเป็นอะไรกับซีอุย ผมไม่ได้เป็นญาติเขา แต่คิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง มีอะไรการันตีได้บ้างว่าในอนาคตร่างที่อยู่ในตู้กระจกนั้นจะไม่ใช่ผมหรือเพื่อนของผม เพราะยังมีระบบนี้อยู่ การไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การตีตราคนยังเกิดขึ้น เราจึงต้องทำลายกงล้อนี้”

ฟาโรห์มองว่า ซีอุยถูกสร้างภาพจำจากการนำเสนอของสื่อ และการเรียกคืนความยุติธรรมก็ทำได้ผ่านสื่อเช่นกัน เรื่องนี้จึงควรเป็นบทเรียนให้สังคมเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่นที่เราสามารถคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ซีอุยที่ถูกตีตรามาหลายสิบปี เช่นเดียวกันที่เราควรใช้พลังนี้สนับสนุนประเด็นทางสิทธิมนุษยชนต่างๆ ให้ผู้ที่กำลังถูกละเมิดอยู่ในสังคมไทย เพื่อการันตีว่าในอนาคตคนที่ถูกละเมิดสิทธิจะไม่ใช่เรา ลูกของเรา หรือคนที่เรารัก

“ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าการทำร้ายคนในนามของความยุติธรรมหรือความดี และในรัฐที่มีปัญหาต่างๆ ไม่มีอะไรการันตีเลยว่าวันหนึ่งผมเดินอยู่ในบริเวณที่มีเหตุบางอย่างแล้วต่อมารูปผมขึ้นหน้าหนึ่งว่าเป็นอาชญากร คนจะรุมด่าทั้งประเทศและต้องการให้ผมตาย เราทุกคนมีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา หรือจำเลย โอกาสนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ตำแหน่งไหนในสังคม เช่น คดีบอส อยู่วิทยา”

ฟาโรห์มองว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ แต่พอเกิดคดีต่างๆ ขึ้น ผู้คนกลับสนับสนุนให้แก้แค้นด้วยการฆ่า แม้จะมีงานวิจัยว่าการประหารชีวิตไม่มีผลต่อการยับยั้งอาชญากรรม แต่คนก็ยังคิดว่าการประหารเป็นการยับยั้งไม่ให้ผู้กระทำไปฆ่าต่อได้

นอกจากนี้ การเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียสำคัญมากพอกับการคืนความยุติธรรม ทุกวันนี้สังคมมองเฉพาะแค่การเอาคืน แต่ไม่ได้คิดว่าครอบครัวผู้สูญเสียจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร รวมถึงครอบครัวนักโทษประหารที่ต้องถูกตีตราทั้งที่ไม่ได้ร่วมกระทำผิด

สิ่งที่ฟาโรห์เน้นย้ำทิ้งท้ายก็คือ “ความเสี่ยงที่สุดของโทษประหารคือการประหารผิดคน และเราไม่อาจหยุดยั้งอาชญากรรมได้ด้วยการฆ่าคนเพิ่มอีกหนึ่งคน”

ด้าน จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ เล่าว่า ได้เข้าไปพูดคุยและช่วยเหลือคดี “มิก หลงจิ” ในนามของสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลังจากที่มีการประหารชีวิตไปแล้ว จากการพูดคุยกับครอบครัวมิกและครอบครัวผู้เสียหายในคดีเดียวกัน พบว่าทั้งสองครอบครัวยังติดใจที่ในคดีมีการระบุผู้กระทำผิดสองคน แต่ปัจจุบันยังจับอีกคนหนึ่งไม่ได้ ทั้งที่มิกถูกประหารไปแล้ว จากการอ่านสำนวนคดีพบว่ามีพยานหลักฐานที่จะทำให้ติดตามบุคคลดังกล่าวได้ ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นกับซีอุยก็เป็นตัวอย่างให้เห็นความบิดเบี้ยวของงานสอบสวนในอดีต สิทธิในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายในสังคมไทยยังมีข้อจำกัดและความเหลื่อมล้ำมาก ทำให้ผู้กระทำผิดไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพได้

“จากสถิติการรื้อฟื้นคดีของกระทรวงยุติธรรม มีจำนวนมากที่ผู้กระทำความผิดมารับสารภาพเอง ทำให้เราตั้งคำถามว่าการรื้อฟื้นคดีใหม่แล้วผู้กระทำความผิดตัวจริงมารับสารภาพ หรือผู้เสียหายที่เคยชี้ตัวกลับคำให้การ มันสะท้อนอะไรบ้าง”

จันทร์จิรามองว่า ปัจจุบันมีเครื่องมือ กฎหมาย หรือระเบียบเพียงพอที่จะทำให้เกิดการตรวจสอบ แต่ปัญหาอยู่ที่ทางปฏิบัติ ข้อเสนอหนึ่งที่น่าจะพอเห็นความหวังคือการให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้สององค์กรคานอำนาจกัน โดยอัยการจะต้องเก็บรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนตามหลักปฏิบัติ จะยกระดับความโปร่งใสขึ้น ขณะที่คนในสังคมยังมองว่าการมีโทษประหารจะทำให้คนไม่กล้าก่ออาชญากรรม แต่จันทร์จิราชี้ให้เห็นว่ายังมีกรณีแบบสมคิด พุ่มพวง ที่ก่อเหตุจนต้องโทษประหารชีวิตแต่กลับถูกปล่อยตัวออกมาแล้วก่ออาชญากรรมซ้ำ สิ่งที่น่าตั้งคำถามในเรื่องนี้คือประสิทธิภาพของเรือนจำที่ควรจะทำให้ทุกคนปลอดภัยจากอาชญากร

จันทร์จิรามองว่า อีกสิ่งที่สำคัญซึ่งยังขาดหายไปในกระบวนการคือรัฐต้องเข้ามาเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจและสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวเหยื่ออาชญากรรม ที่ผ่านมามีเงินจากกองทุนยุติธรรมซึ่งไม่เพียงพอ เพราะคนที่ตกเป็นเหยื่ออาจเป็นคนที่มีอนาคตไกลที่จะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว รัฐจึงต้องเข้ามาเยียวยา นอกจากนี้คือการเยียวยาความสูญเสียทางจิตใจของครอบครัวเหยื่อ

เป็นเรื่องเชิงจิตวิทยาให้จิตใจครอบครัวผู้สูญเสียได้คลี่คลายความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียคนที่รัก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image