จากแผนอนุรักษ์ สู่ ‘ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ’ เมื่อ‘นกยูงไทย’ กระจายรายได้ให้ ‘ชุมชน’

“นกยูง” หนึ่งในสัตว์ปีกที่โดดเด่น สะกดสายตาด้วยการรำแพนหางหลากสีสัน มักพบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ของประเทศไทย ทั้งภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่พบได้ไม่ยาก หากแต่ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดสำรวจและวิจัยจำนวนประชากรนกยูงอย่างละเอียดว่าแต่ละพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีจำนวนประชากรนกยูงจำนวนเท่าใด

ซึ่ง “นกยูงไทย” หรือนกยูงเขียว (green peafowl) คือหนึ่งในชนิดที่จัดอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าของไทย ทั้งยังอยู่ในบัญชี IUCN Red List สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จึงถือเป็นสัตว์ป่าที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้

ล่าสุด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้วิจัยและลงพื้นที่สำรวจประชากรนกยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จ.พะเยา ซึ่งผลพบว่ามีจำนวนประชากรนกยูงมากถึง 4,000-5,000 ตัว นับได้ว่ามีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลก่อนหน้านี้มีการวิจัยที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง พบจำนวนนกยูง 400-500 ตัวเท่านั้น

“นกยูงเป็นดัชนีชี้วัดว่าบริเวณผืนป่าที่มีนกยูงอาศัยอยู่เป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีระบบนิเวศที่เหมาะสำหรับสัตว์ป่าและพืช”

Advertisement

คือคำกล่าวของ ธนานันท์ โชติประเสริฐคุณ นักวิจัยจากสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มจธ. จากการสนับสนุนทุนพัฒนาโดยมูลนิธิกระจกอาซาฮี ประจำปี 2562 ที่ได้เจาะลึกเรื่อง สถานภาพและการแพร่กระจายของนกยูงในภาคเหนือประเทศไทย : เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการจัดการระดับชุมชน โดยศึกษาสถานภาพการกระจายและประชากรของนกยูงทางภาคเหนือของไทย ในพื้นที่ จ.พะเยา ซึ่งการศึกษาครั้งนี้จะช่วยให้ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนของนกยูง เพื่อนำไปสู่การจัดการดูแลสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเกษตรกรในพื้นที่

ธนานันท์ โชติประเสริฐคุณ

โดยวิจัยใน 3 พื้นที่เขตอนุรักษ์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ อ.จุน จ.พะเยา และอุทยานแห่งชาติดอยภูนาง จ.พะเยา พื้นที่วิจัยทั้งหมดประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร ซึ่ง ธนานันท์ เผยว่า สภาพโดยทั่วไปเป็นหย่อมป่า มีชุมชนคั่นกลางระหว่างป่า จะมีเพียงพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอเท่านั้นที่มีสภาพยังเป็นผืนป่า

ก่อนจะเล่าถึงการวิจัยนับจำนวนประชากรนกยูง อันเป็นงานวิจัยครั้งแรกในพื้นที่ จ.พะเยา เพื่อสำรวจประชากรนกยูง ซึ่งผลจากการสำรวจเราพบจำนวนประชากรนกยูงมากถึง 4,000-5,000 ตัว โดยหนาแน่นมากที่สุดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

Advertisement

“นกยูงจะชอบอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าเต็งรัง ป่าสน จำพวกป่าเบญจพรรณ และเป็นสัตว์ที่เหมือนกลุ่มไก่ จะออกหากินช่วงเช้าและบ่ายตามชายป่า และตามชายหาดริมลำธาร กลางคืนจับคอนนอนตามกิ่งไม้ที่ค่อนข้างสูง อาหารที่กิน ได้แก่ เมล็ดพืช ธัญพืช ผลไม้สุกที่หล่นตามพื้น ยอดอ่อนของหญ้า นอกจากนี้ยังชอบกินแมลง ตัวหนอน ไส้เดือน งูและสัตว์ขนาดเล็ก นกยูงมักพบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ตัวผู้หนึ่งตัวต่อตัวเมีย 3-5 ตัวในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากนั้นตัวผู้จะอยู่ตัวเดียว ตัวเมียจะอยู่ดูแลลูกๆ ตามลำพัง เวลาผสมพันธุ์ตัวผู้ก็จะหาลานที่กว้างๆ เปิดโล่ง เพื่อที่จะรำแพนหางหาคู่ เพื่อจับคู่ผสมพันธุ์”

นกยูงที่สำรวจพบในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จ.พะเยา

ทั้งนี้ การสำรวจจะทำในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เนื่องจากเป็นฤดูผสมพันธุ์ของนกยูง โดยตัวผู้จะลงมาหาลานกว้างเพื่อรำแพนหาง ส่งเสียงร้อง เรียกตัวเมียให้มาผสมพันธุ์ ซึ่งช่วงผสมพันธุ์นกยูงจะส่งเสียงร้องนานกว่าช่วงเวลาปกติ เพราะต้องการที่จะดึงดูดตัวเมีย ทำให้ง่ายต่อการเก็บข้อมูล โดยทีมวิจัยใช้วิธีการสำรวจและประเมินประชากรที่เรียกว่า Distance Sampling เป็นการใช้ระยะทางและโอกาสในการพบเห็นประชากรนกยูง และบันทึกชนิดของสัตว์ เสียงร้องของนกยูง บันทึกมุม บันทึกองศา จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความหนาแน่นของประชากรด้วยโปรแกรมเฉพาะทาง

โดยวางเส้นสำรวจจำนวน 48 เส้น ใน 3 พื้นที่ ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติดอยภูงาม จำนวน 18 เส้นทาง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ 18 เส้นทาง และ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ 12 เส้นทาง ซึ่งเลือก
ให้กระจายครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ โดยเส้นสำรวจแต่ละเส้นมีความยาว 2-3 กิโลเมตร ทำการเดินสำรวจ 2 ช่วงเวลา ในช่วงเช้าเวลา 06.30-08.30 น. และช่วงเย็นเวลา 16.30-18.30 น.

ธนานันท์ กล่าวเสริมว่า ในงานวิจัยประชากรนกยูงเบื้องต้น ยังคงพบ ความขัดแย้งในพื้นที่ระหว่างนกยูงและชุมชน ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งมานานหลายปี เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน และการขยายพื้นที่เกษตรกรรม รุกเข้าไปในพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนกยูง ทำให้นกยูงออกมาใช้พื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน มากินผลผลิตของชาวบ้าน เช่น เมล็ดข้าว ข้าวโพด ลำไย เป็นต้น ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ และน่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“จากข้อมูลของชาวบ้านระบุว่า ความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและนกยูง มีระยะเวลานานหลายปี และมีการจัดการไล่นกยูงไม่ให้มากินพืชผลในหลายรูปแบบ ทั้งการจุดประทัดไล่ การยิงปืนไล่ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อนักอนุรักษ์ว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อจำนวนประชากรนกยูง และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในอนาคตหรือไม่”

อย่างไรก็ดี ในประเทศไทย มีแนวความคิดเรื่อง “การอยู่ร่วมกันระหว่างนกยูงกับชุมชนโดยการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ที่ริเริ่มขึ้นโดย “ชุมชนต้นแบบรักษ์นกยูงไทย” ในพื้นที่ข่วงนกยูง 69 ตำบลห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา ในพื้นที่แปลงเกษตรของชาวบ้านหมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 9 จัดให้มีการดูนกยูง และทำซุ้มดูนกยูงในปี 2560 และได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยพะเยา เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุสัตว์เวียงลอ และทางอำเภอจุน

ซึ่งหลังจากนั้น เทศกาลนับนกยูง ก็มีขึ้นทุกปี โดยจัดในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคมของทุกปี สำหรับพื้นที่ดูนกยูงมี 4 จุด ใน 5 ชุมชนของอำเภอจุน คือ ข่วง 69, ข่วงกิ่วแก้ว, ข่วงบ้านเซียะ, ข่วงนกยูงศรีเมืองชุม โดยนกยูงที่ลงมา 2 ช่วง คือมาหาอาหารในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ข้าวออกรวง และลงมาหาพื้นที่ในการผสมพันธุ์ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ในฤดูกาลแห่งความรักของนกยูงที่เรียกว่า ‘รำแพน’

ผลที่ตามมาจากการจัดท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้เกิดรายได้กับชุมชน มีโฮมสเตย์ การขายพืชผลการเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวกับนกยูงได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีชุมชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งคาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงจะได้มีการทำความเข้าใจและขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศก็ต้องตั้งอยู่บนความรับผิดชอบ คือไม่ไปรบกวนสัตว์และพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์

ธนานันท์บอกด้วยว่า หลังจากงานวิจัยออกเผยแพร่ หวังว่าจะก่อให้เกิดความตระหนัก และเกิดการอนุรักษ์ แม้นกยูงจะทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลก็จริง แต่ชุมชนก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันกับนกยูงได้ โดยการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ ก็สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในเรื่องของการอนุรักษ์และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อนกยูงได้ เช่น ถ้าทราบว่าพื้นที่ตรงนี้มีจำนวนประชากรนกยูงจำนวนมาก ควรจะมีนโยบายที่เข้มงวดต่อพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่า เป็นต้น

“ในปี 2564 สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มีโครงการสำรวจประชากรนกยูงที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และอนาคตจะเพิ่มพื้นที่สำรวจที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้และชาวบ้าน ว่าพบนกยูงตามแนวตะเข็บชายแดน บริเวณพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ และหากมีการสำรวจจำนวนประชากรนกยูงครบทั้งประเทศ น่าจะมีหน่วยงานจัดทำแผนที่นกยูงในประเทศไทยเพื่อการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศต่อไป”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image