ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พรรณราย เรือนอินทร์ |
เผยแพร่ |
ลมหนาวผ่านมา แล้วเตรียมจะผ่านไปพร้อมๆ กับเดือนแรกของปี 2564
ทว่า ถ้อยคำที่ถูกอ่านและซึมซับไม่เคยผ่านไปอย่างไร้ค่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหลากเล่มคุณภาพ ผลงาน สำนักพิมพ์มติชน ที่ขนหนังสือดีๆ มานำเสนอในแง่มุมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ธรรมชาติวิทยา และศิลปะงดงามแห่งแดนอุษาคเนย์
‘พุทธศิลป์ไทยในอาเซียน’
เหนือคำว่างาม คือ ‘สัมพันธ์’ ความเชื่อ
เล่มใหม่เปิดตัวหมาดๆ แต่ผู้เขียนไม่ใช่มือใหม่ สำหรับ พุทธศิลป์ไทยในอาเซียน จากแป้นพิมพ์ ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในนักประวัติศาสตร์ศิลปะคนสำคัญของสยามประเทศไทยในห้วงเวลานี้ เชี่ยวชาญพิเศษในศิลปะตะวันออก ชนิดรู้ลึกในทุกรูปแบบชายจีวรของพระพุทธรูปที่รังสรรค์โดยผู้คนต่างชนชาติซึ่งเชื่อมร้อยสัมพันธ์ด้วยความเชื่อในพระพุทธศาสนาอันหยั่งรากลึกในสุวรรณภูมิ อุษาคเนย์ อาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือจะเรียกว่าอะไรก็เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงดินแดนไทยและเพื่อนบ้านชิดใกล้
ศาสนา ประวัติศาสตร์ และศิลปะ บนไทม์ไลน์ความยิ่งใหญ่และร่วงโรยของอาณาจักรในอดีตทั้ง พุกาม ล้านนา สุโขทัย อยุธยา เขมรโบราณถูกนำมาเผยแพร่ วิเคราะห์ ตีความ เผยให้เห็นความสัมพันธ์ของงานศิลปกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนาในไทยและในอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น มอบความรู้และเข้าใจในความเหมือนและต่างผ่านวัตถุพยานที่หลงเหลือร่องรอยจากอดีตกาลมาถึงทุกวันนี้
เปิดปฐมบทด้วยหลักฐานการประดิษฐานพุทธศาสนาในไทยและอาเซียน ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ต่อด้วย
อิทธิพลของศิลปะในอาเซียนต่องานพุทธศิลป์ไทย ไม่ว่าจะเป็นชวาภาคกลาง ซึ่งปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อ อินโดนีเซีย เขมร, พม่า แม้กระทั่งเวียดนาม ตามด้วยบทบาทของพุทธศิลป์ไทยต่อประเทศในอาเซียน ทั้งกัมพูชา พม่า และลาว
ตัวอย่างเช่น อิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ในหอพระแก้ว นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งมีลักษณะทางศิลปกรรมโดยรวมที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์มากที่สุด เทียบได้กับพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากจะรับรูปแบบศิลปกรรมแล้ว น่าจะรับคติการสร้างวัดในพระบรมมหาราชวังด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่เหมือนคือ ลักษณะของอาคารที่มีผนังสูง หลังคาซ้อนชั้น เสาย่อมุม มีบัวหัวเสาและคันทวยรองรับชายคา
ส่วนงานประดับตกแต่ง เช่น หน้าบันประดับด้วยพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิหารศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม ประตูและหน้าต่างประดับด้วยเทวดา ทวารบาลแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นแบบไทยประเพณี ได้แก่ เทวดา เทวสตรี เทพนม ยักษ์ พระราม และเซี่ยวกางที่ได้รับอิทธิพลศิลปะจีน ซึ่งปรากฏอย่างมากมายในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อย่างไรก็ตาม สำหรับลวดลายแม้ว่าเค้าโครงจะได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะรัตนโกสินทร์ แต่การแสดงออกเป็นแบบลาวอย่างแท้จริง ป้านลมที่อ่อนโค้งอย่างลาว ไม่ทำนาคลำยองหรือนาคสะดุ้งแบบศิลปะไทย ช่อฟ้าเป็นแบบโหง่ในศิลปะลาว เทวดาและทวารบาลที่บานประตูและหน้าต่างมีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ เป็นต้น
ถือเป็นพ็อคเก็ตบุ๊กสไตล์ ‘ตำรา’ ที่ผู้สนใจในประวัติศาสตร์ศิลปะต้องมีไว้ในครอบครอง
‘เมฆหมอกเกงจิ๋ว’ จารชนสามก๊ก
เมื่อแผ่นดินเกิดกลียุค
คอวรรณกรรมจีน เห็นทีจะพลาดไม่ได้ สำหรับ ‘จารชนสามก๊ก’ เล่ม 2 ตอน ‘เมฆหมอกเกงจิ๋ว’ ของ ‘เหอมู่’ แปลโดย ชาญ ธนประกอบ บอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งแผ่นดินเกิดกลียุค ประชาชนไร้ที่พึ่ง ขุนพลผู้กล้าสละชีวิตเพื่อรักษาบ้านเมือง ทว่าสันติสุขใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายดาย กาเอ๊ก อดีตนายกองแห่งจิ้นโจ้วเฉาย้ายมาสังกัดเจี่ยฝานอิ๋ง องค์กรจารชนแห่งง่อก๊ก เมื่อเริ่มงานในสังกัดใหม่ กาเอ๊กได้พบสตรีนางหนึ่งซึ่งมีรูปโฉมเหมือนเตียนชวน คนรักของเขาที่ถูกสังหารไป ระหว่างสืบหาที่มาที่ไป กลับมีเหตุลอบสังหารน่าเคลือบแคลง จับต้นชนปลายไม่ได้ว่าบุคคลในเงามืดที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการคือใครและทำเพื่อฝ่ายใด อีกทั้งกาเอ๊กยังพบว่าองค์กรหานฉานที่ตนคิดว่ารู้จักแล้ว แท้จริงยังมีความลับคลุมเครืออีกมากมายที่อำพรางไว้หลังฉากหน้า
เมืองเกงจิ๋วในวงล้อมหมอกหนายังมีหมอกอันน่าสะพรึงล้อมไว้อีกชั้น หมอกซ่อนคมอาวุธที่หลั่งเลือดคนมหาศาลได้ในพริบตาเดียวกระทั่งนำไปสู่จุดจบของผู้ยิ่งใหญ่ หมากกระดานนี้พลิกพลิ้วได้ทุกขณะด้วยมือที่มองไม่เห็น และเบี้ยอย่างกาเอ๊กจำต้องถูกเขี่ยให้เดินบนทางสุ่มเสี่ยงต่อไป ในเล่ม 2 นี้ เหอมู่ยังคงถ่ายทอดแง่มุมชิงไหวชิงพริบของงานสายลับที่เล่าผ่านสมรภูมิสำคัญของสามก๊กอย่าง ยุทธการเสียเมืองเกงจิ๋ว ไว้ได้อย่างเข้มข้น
เนื้อหาแน่นขนาดนี้ กลวิธีการเขียนก็ไม่ธรรมดา ผู้เขียนใช้กลวิธีนำความลึกลับในประวัติศาสตร์ ผสมผสานกับท่วงท่าของสามก๊ก โดยให้ความสำคัญทั้งด้านอักษรศาสตร์กับประวัติศาสตร์ควบคู่กัน ผสมผสานจินตนาการกับความเป็นจริงเพื่อให้ผู้อ่านสนุกตื่นเต้น ด้านผู้แปล ก็ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยอย่างสุดฝีมือ มอบอรรถรสแบบใหม่ที่สำนักพิมพ์มติชนยืนยันว่า แม้แต่แฟนตัวยงของสามก๊กก็ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ฉีกจารีตยุทธจักร
ใน ‘วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย’
อย่าให้อารมณ์ขาดตอน ยังอยู่ที่วรรณกรรมจีน แต่คราวนี้มาแนวกำลังภายใน กับ ‘วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย’ ซึ่ง เสถียร จันทิมาธร นักหนังสือพิมพ์ระดับตำนานของไทยมาโชว์เพลงยุทธผ่านตัวอักษร เปิดเผยเบื้องลึกของ ‘เอี้ยก่วย’ ตัวละครเอกจาก ‘มังกรหยก 2 จอมยุทธอินทรี’ วรรณกรรมอมตะของ ‘กิมย้ง’
เริ่มกันตั้งแต่ชะตาชีวิตที่จำต้องทนรับชะตากรรมอันเลวร้าย เพราะ “เอี้ยคัง” ผู้เป็นพ่อ วายร้ายในมังกรหยกภาคแรกเคยก่อไว้ ทำให้เขาถูกแปลกแยกจากสังคม นอกจากนี้ ยังเติบโตมาด้วยการเป็นลูกศิษย์จอมมารหลายราย ร่ำเรียนวรยุทธ์กับ ‘เซียวเล้งนึ่ง’ หญิงงามผู้เป็นอาจารย์ ก่อนที่สมรักสมรสกันในเวลาต่อมา ฉีกจารีตยุทธจักรจนโลกตะวันออกต้องจดจำ
ความโดดเด่นของเล่มนี้ อยู่ที่การที่ เสถียร จันทิมาธร นำมังกรหยกในแต่ละสำนวนแปลมาวิเคราะห์เจาะลึกจนตกตะกอน และยังอ้างอิงหนังสือที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเหมือนและต่างในแต่ละบริบทได้อย่างชวนขบคิด
ตามหา ‘ปักษาสวรรค์หกเส้น’
บน หมู่เกาะมาเลย์ เล่ม 2
จากแดนมังกร เขยิบลงไปปักหมุดในแหลมมลายู กับบันทึกภาคต่อที่ผู้คนรอคอย นั่นคือ ‘หมู่เกาะมาเลย์ เล่มที่ 2’ (The Malay Archipelago 2)บันทึกการเดินทางสำรวจหมู่เกาะมาเลย์และบอร์เนียว เล่มที่ 2 ของ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ นักธรรมชาติวิทยาผู้รักการผจญภัย ที่มีส่วนในการเก็บหลักฐานและร่วมพัฒนาทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างเป็นอิสระจากชาร์ลส์ ดาร์วิน
ผลงานแปลของ ดร.นําชัย ชีววิวรรธน์และคณะ บอกเล่าทั้งเรื่องราวของธรรมชาติวิทยา พฤกษศาสตร์ ไปจนความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองอย่างละเอียดลออ โดยหนึ่งในความน่าตื่นตาตื่นใจผ่านตัวอักษรให้จินตนาการคือถ้อยคำพรรณนาถึง ‘ปักษาสวรรค์หกเส้น’ หรือปักษาสวรรค์ทอง นกหายากที่เคยถูกวาดภาพไว้แต่ไม่เคยได้ตัวอย่างในสภาพสมบูรณ์
เมื่อมองครั้งแรกจะเห็นเป็นขนสีดำ แต่ในแสงบางมุมจะแพรวพราวเห็นเป็นสีทองสัมฤทธิ์และสีม่วงเข้ม คอหอยและอกเป็นขนแบนกว้างรูปเกล็ดสีเฉดทองเข้ม เปลี่ยนเป็นสีเขียวและน้ำเงินในแสงบางมุม ด้านหลังของหัวมีแถบขนกว้างๆ คาดเป็นแนวโค้งวาววับดังมรกตและบุษราคัม งดงามเกินบรรยาย ทั้งยังมีเส้นขนน่าพิศวง 6 เส้นเด้งออกมาจาก 2 ด้านของหัวอันเป็นที่มาของชื่อที่ลืมไม่ลง
เส้นขนนี้มีลักษณะคล้ายลวดเรียวๆ ยาว 6 นิ้วที่ปลายสุดของขนแผ่ออกเป็นรูปไข่เล็กๆ ราวเครื่องประดับล้ำค่า ทั้งยังมีขนอ่อนกระจุกใหญ่มากที่ 2 ข้างของหน้าอก ซึ่งเมื่อยกขึ้นจะปกคลุมปีกไว้ทั้งหมด ทำให้นกชนิดนี้ดูใหญ่ขึ้นถึง 2 เท่า จะงอยปากสีดำ สั้น และค่อนข้างย่น มีขนโผล่ล้ำเหนือรูจมูก
แม้ไม่ได้เห็นประจักษ์แก่สายตา ทว่า สัมผัสได้ในทุกตัวอักษรพร้อมๆ กับการสำรวจหมู่เกาะมาเลย์บนเส้นบรรทัดอันน่าพิศวง
‘มนุษย์อยุธยา’
ประวัติศาสตร์ข้าวปลา ถึงตำรา SEX
มนุษย์อยุธยา หรือ ชาวอยุธยา หน้าตาเป็นอย่างไร?
มีชีวิตความเป็นอยู่แบบไหน?
ชอบหรือไม่ชอบกินอะไร?
แล้ววันๆ เขาทำอะไรกันบ้าง?
อาจเป็นคำถามที่ไม่ถูกถามในคาบเรียนประวัติศาสตร์ ด้วยภาพจำของรายวิชาที่มาพร้อมความขรึมขลังและศักดิ์สิทธิ์จากพงศาวดาร จารึกลานทอง โบราณสถานอันปรักหักพัง อีกทั้งมรดกโลก
‘มนุษย์อยุธยา ประวัติศาสตร์สังคม จากข้าวปลา หยูกยา ตำรา Sex’ หนังสือชื่อยาว จากปลายปากกา กำพล จำปาพันธ์ พร้อมปลดเปลื้องประวัติศาสตร์อยุธยาที่ผู้คนอาจหลงลืมแม้กระทั่งคิดสงสัย
นี่คือหนังสือเล่มแรกของ Silpa Zip – หมวดหนังสือน้องใหม่ จากศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ สำนักพิมพ์มติชน ที่จะชวนมาปาร์ตี้ประวัติศาสตร์อันเปี่ยมด้วยสีสัน ผ่านข้อเขียนต่างๆ ที่แซ่บมากตั้งแต่ชื่อบท ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง อำนาจและเซ็กซ์ในสังคมอยุธยา, ข้าวปลา อาหารและวัฒนธรรมการกินอยู่ ของมนุษย์อยุธยาและชาวอุษาคเนย์, ตำราโอสถพระนารายณ์กับสังคมเมืองท่านานาชาติในประวัติศาสตร์อยุธยา-อุษาคเนย์ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18, โรคภัยไข้เจ็บกับสังคมวัฒนธรรมสมัยอยุธยา และส่อง ‘ร่างกาย’ มนุษย์อยุธยาผ่านภาพวาดในประวัติศาสตร์
คือ 5 เล่มที่ต้องมีไว้กอด ก่อนลมหนาวจะพัดผ่าน ก่อนสายธารวรรณกรรมประวัติศาสตร์จะหมุนวนกลับมาอีกครั้งดังคำทำนายของนักปราชญ์ในทุกยุคสมัย