ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | จิณณพัต อกอุ่น, พรสุดา คำมุงคุณ |
เผยแพร่ |
ถือเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ไทยในวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำหรับแฮชแท็ก #สมรสเท่าเทียม วันเดียวกับการจัดกิจกรรมของ ‘ภาคีสีรุ้ง’ และเครือข่ายถึง 43 องค์กร
ประเด็นที่ว่านี้ถูกพูดถึงมาพักใหญ่ แต่เข้าใจว่าเหตุที่กลายเป็นปมร้อนจนต้องจัดม็อบยืนยันแนวคิดสมรสเท่าเทียม มาจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 ที่กำหนดการสมรสเฉพาะชาย-หญิง ‘ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ’
การชุมนุมอย่างสันติจึงเกิดขึ้นที่แยกราชประสงค์ ใจกลางกรุง ด้วยความมุ่งหมายรณรงค์รวบรวม 1 ล้านรายชื่อหนุนสมรสเท่าเทียม แก้กฎหมายมาตรา 1448 ปูธงสีรุ้งบนถนนอย่างงดงาม แขวนธง
มีข้อความยืนยันความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์
ไทยแลนด์‘แดนสวรรค์แอลจีบีที’
เรื่องจริงหรือจ้อจี้?
พรหมศร วีระธรรมจารี หรือฟ้า แกนนำ ‘ราษฎรมูเตลู’ ผู้เคลื่อนไหวหลากหลายประเด็นการเมืองจนต้องลิ้มรสกับการถูกพรากอิสรภาพ เปิดใจพูดเรื่องที่เจ้าตัวบอกว่า ‘รอเวทีนี้มานานมาก’
“ม็อบนี้เป็นม็อบที่ฟ้ารอคอยมานานแสนนาน ซึ่งได้บอกกับทนายว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ผมไม่ได้เข้าคุก เพราะผมจะมาแสดงศักยภาพในความเป็นการสมรสเท่าเทียมในวันนี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน ความรักมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ใครสักคนไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะเพศกำเนิด ความรักถูกสร้างมาเพื่อคนทุกคน และใครก็ได้ที่เป็นมนุษย์ได้มีคำว่ารัก ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม เพศสภาพ หรือเพศกำเนิดแบบใด คำว่ารักเป็นคำที่ถูกสร้างมาให้คนทุกคน
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ตอนเด็กๆ ถูกเรียกว่ากะเทย ฟ้ามั่นใจว่าหลายๆ คนที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศแบบใดก็ตาม ตอนเด็กๆ คุณต้องถูกกดดันจากโรงเรียนและครอบครัว รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วการเป็นความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยที่อ้างว่าเป็นสวรรค์ของ LGBTQ นั้นเป็นเรื่องสร้างภาพ มันไม่เคยเป็นเรื่องจริงเลย” ฟ้ายืนยัน
ด้าน นาดา ไชยจิตต์ นักเคลื่อนไหวผู้ร่วมขับเคลื่อนด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ ในฐานะตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย ให้คำอธิบายที่ชัดเจนขึ้นว่าวาทกรรมความเป็นสวรรค์ของกลุ่มเพศหลากหลายนั้น ‘ปลอม หรือไม่ปลอม’ อย่างไร โดยหยิบยกประเด็น ‘สิทธิทางกฎหมาย’ ที่คนกลุ่มนี้ยัง ‘เข้าไม่ถึง’
“ท่านทราบหรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนเราเท่ากัน สิ่งนั้นคือการบังคับใช้กฎหมาย ที่บอกกันว่าประเทศไทยคือสวรรค์ของความหลากหลายทางเพศ ปลอม ไม่ปลอม? หมดเวลาสำหรับการเดินเล่นรอบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ไม่ว่าวันนี้ 5 ล้านคน ที่เปิดเผยตัวตนจะเข้าถึงโอกาสความเสมอภาคแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เราเหมือนกันคือ การเป็นพลเมืองชั้น 2 เพราะเราไม่สามารถเข้าถึงสิทธิทางกฎหมายได้ แต่รัฐกลับบอกว่าไม่จำเป็นต้องมีสมรสเท่าเทียม จะบอกให้ว่าทำไมมันถึงไม่พอ เพราะการสมรสมันไม่ใช่แค่รสนิยม แต่มันคือความเท่าเทียม” นาดากล่าว
การเมืองเรื่องเพศ
‘นโยบาย-กฎหมาย-สภา’
เจาะลึกลงไปในมุมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประเด็นความเท่าเทียมทางเพศต้องถูกขับเคลื่อนไม่เพียงในโลกออนไลน์ วงสนทนาและท้องถนน แต่ภาคการเมืองคือส่วนสำคัญยิ่ง
ชานันท์ ยอดหงษ์ นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีย้ำว่า การสมรสเท่าเทียมเป็นสิ่งที่จะยืนยันได้ว่าเรามีคุณค่าและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่รัฐกระทำทุกวันนี้เหมือนเป็นการผลัก LGBTQ+ เป็นเพียง ‘กลุ่มคนชายขอบ’ ประเทศไทยยอมรับความหลากหลายทางเพศเพียงแค่ครึ่ง
เดียวเท่านั้น จากที่มีผู้กล่าวว่า แค่ พ.ร.บ.คู่ชีวิต ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังไม่สามารถตอบโจทย์ให้แก่คู่รักได้
“เราต้องแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเป็นคู่ชีวิตกันได้ เราต้องการแก้มาตรา 1448 แก้จากใช้คำว่า ชาย-หญิง เป็น บุคคล-บุคคล เพียงเท่านี้มันยากตรงไหน การแก้ไขที่ตรงจุดที่สุดคือการแก้มาตรา 1448 เพราะฉะนั้นเราต้องรวมพลังกันเพื่อผลักดันเพดานขึ้นไป เพื่อให้เห็นว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ”
ในขณะที่ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยตอนหนึ่งว่า เราจำเป็นต้องยอมรับว่าคนบนโลกไม่สามารถเกิดมาเท่าเทียมได้ทุกคน ดังนั้น ในฐานะ ส.ส.จะจัดระเบียบสังคมอย่างไรให้คนมีสิทธิ เสรีภาพ และได้รับการยอมรับทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
“พรรคอนาคตใหม่ได้เห็นความสำคัญของคนเท่ากัน และที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือความเท่าเทียมกันของ LGBT โดยพรรคอนาคตใหม่ได้สร้างประวัติศาสตร์ทำให้ ส.ส. LGBT เข้าไปอยู่ในสภาถึง 4 คน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยผลักดันให้มีกรรมาธิการเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ แม้ว่าครั้งนั้นเราจะไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากคะแนนที่สนับสนุนเราไม่มากพอ แต่เราก็รู้สึกดีใจที่ได้สามารถปักธงทางความคิด นำวาระของเรื่องความหลากหลายทางเพศเข้าไปในสภาครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ณธีภัสร์กล่าว
ด้าน อุดมศักดิ์ ศรีสุทิวา รองเลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา บอกว่าอยากรับฟังความต้องการของทุกคนเพื่อนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องเกี่ยวกับนโยบายความหลากหลายทางเพศของพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรคให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
“เมื่อสมัยเป็นเด็กการที่จะแสดงออกว่าไม่ตรงกับเพศกำเนิด พ่อแม่จะไม่ยอมรับ เพื่อนบางคนเล่าว่าถึงขนาดตัดพ่อตัดลูกก็ยังมี อย่างไรก็ตาม ปี 2558 สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีการออก พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ ผมก็มีส่วนเล็กๆ ในการสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นด้วยกับนโยบายเกี่ยวกับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ หรือสมรสเท่าเทียม เพราะเราสรุปกันว่ามนุษย์เกิดมามีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่แบ่งแยกเพศ” รองเลขาฯ ชาติไทยพัฒนายืนยัน
ปิตาธิปไตยจงฉิบหาย!
ความเท่าเทียมหลากหลายจงเจริญ
ปิดท้ายที่หนึ่งในแม่งานคนสำคัญอย่าง ชุมาพร แต่งเกลี้ยง หรือ วาดดาว จากกลุ่ม ‘เฟมินิสต์ปลดแอก’ ซึ่งขึ้นเวทีในฐานะตัวแทนจากพรรคสามัญชน สาปแช่ง ‘ปิตาธิปไตย’ หรือแนวคิดชายเป็นใหญ่
“ที่นั่งๆ กันอยู่ตรงนี้ได้แต่งงานกันหรือยัง ได้ประชาธิปไตยกันหรือยัง ถ้าพรรคการเมืองที่มีอยู่มันห่วย ก็หันมาเลือกพรรคใหม่ๆ อย่างพรรคสามัญชนเข้ามาทำงานไหม แต่ 3 ปีที่ผ่านมาแทบไม่ได้ทำงาน ทำแต่ม็อบ เราต้องการ 1 ล้านรายชื่อเพื่อยกขบวนเข้าสภาจากพี่น้องคนธรรมดาสามัญ เพื่อที่จะบอกว่าต้องฟังประชาชน หยุดเลือกปฏิบัติกับประชาชน” วาดดาวกล่าว พร้อมย้ำว่า
“เราต้องลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้ เพื่อความเป็นธรรมทางเพศ ปิตาธิปไตยจงฉิบหาย ความเท่าเทียมหลากหลายจงเจริญ”
สรุปเบื้องต้น ข้อเสนอ #สมรสเท่าเทียม จาก‘ภาคประชาชน’
ภาคประชาชนเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 โดยเปลี่ยนถ้อยคำให้เป็นกลางทางเพศ และแก้ไขจากการสมรสระหว่างชายและหญิงมาเป็นการสมรสของบุคคลกับบุคคล เปลี่ยนจากบิดามารดามาเป็นคำว่าบุพการี แล้วสามีภรรยามาเป็นคำว่าคู่สมรส เพื่อให้คู่รัก LGBTIQN+ สามารถเข้าถึงกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ
รายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1.สมรสเท่าเทียม ไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศ ปรับอายุขั้นต่ำจดทะเบียนสมรสจาก 17 เป็น 18 ปี
เสนอแก้ไขมาตรา 1448 ที่กำหนดให้การสมรสกระทำได้ระหว่าง ‘ชายและหญิง’ เป็นการสมรสต่อ ‘บุคคลสองคน’ แก้เกณฑ์อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนสมรสจาก 17 ปีบริบูรณ์ เป็น 18 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วย ‘สิทธิเด็ก’ ทั้งนี้ การจดทะเบียนสมรสของผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ก็ยังต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (บิดา-มารดา)
2.เปลี่ยนคำว่า ‘คู่สมรส’ แทน ‘สามีภริยา’ โดยคู่สมรสต้องดูแลกัน จัดการสินสมรสร่วมกัน รับมรดกได้
ปรับถ้อยคำให้มีความเป็นกลางทางเพศ โดยใช้คำว่า ‘คู่สมรส’ แทนคำว่า ‘สามีภริยา’ โดยกำหนดให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายไม่ว่าเพศใดต้องอยู่กินกันฉันคู่สมรส มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน คู่สมรสไม่ว่าเพศใดย่อมมีสิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรสอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิต แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก็ตาม
3.คู่สมรสรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ แก้ไขคำว่า ‘บิดา-มารดา’ เป็น ‘บุพการี’ เพื่อความเป็นกลางทางเพศ
บุตรบุญธรรมใช้นามสกุลของคู่สมรสได้ เมื่อคู่สมรสรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน ก็จะมีความสัมพันธ์ต่อบุตรบุญธรรมในฐานะบุพการี ต้องดูแลอุปการะเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม ด้านบุตรบุญธรรมจะมีสถานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น สามารถใช้นามสกุลของคู่สมรสที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมได้
4.คู่สมรสมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ เท่าที่กฎหมายกำหนดให้สิทธิ
เนื่องจากระบบกฎหมายในปัจจุบันยังยอมรับการสมรสแค่เฉพาะเพศกำเนิดชาย-หญิง ส่งผลต่อการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์บางอย่างที่เชื่อมโยงกับสถานะความเป็นคู่สมรส ทำให้มีแค่คู่สมรสชาย-หญิงเท่านั้นที่มีสิทธิเหล่านั้น เช่น การรับประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553
ล่าสุด (ข้อมูลเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564) มีผู้ร่วมลงชื่อมากกว่า 1 แสนราย
อ่านร่างเนื้อหาฉบับเต็มและร่วมลงชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ https://www.support1448.org/