ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สร้อยดอกหมาก สุกกทันต์ |
เผยแพร่ |
‘บุคคลต่างชาติกันจะมีชาติใดที่รักชอบกันยืดยาวยิ่งกว่าไทยกับจีนนี้
เห็นจะไม่มี ด้วยไม่เคยเป็นศัตรูกัน
เคยแต่ไปมาค้าขายแลกผลประโยชน์กันมาได้หลายร้อยปี
ความรู้สึกทั้งสองชาติจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาแต่โบราณจนตราบเท่าทุกวันนี้ ซึ่งควรจะหวังว่าจะเป็นอย่างเดียวกันต่อไปในวันข้างหน้า’
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
1 กุมภาพันธ์ เข้าสู่ ‘ปีใหม่’ ในปฏิทินจีน
เทศกาลสำคัญที่คนไทยรู้จักในนาม ‘ตรุษจีน’
ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรมจากโพ้นทะเลเชื่อมร้อยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย
ประกอบขึ้นด้วยเรื่องราวมากมายที่ยังคงน่าค้นหา
‘สำนักพิมพ์มติชน’ ชวนอ่านหนังสือเล่มคุณภาพในแง่มุมหลากหลายที่จะช่วยให้สัมผัส รู้จัก และเข้าใจในความเป็น ‘จีน’ และสัมพันธ์กับสยามจนถึง ‘ไทยแลนด์’ ให้มากยิ่งขึ้น
‘หมิงสือลู่-ชิงสือลู่’
บันทึกเรื่องจริงราชวงศ์หมิง-ชิง ตอน ‘ว่าด้วยสยาม’
จากเอกสารประวัติศาสตร์สู่หนังสือล้ำค่า ที่มีชื่อเต็มบนปกว่า “หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม” และ “หนังสือระยะทาง ราชทูตไปกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่ ณ เดือน 8 ปีกุนตรีศกและปีชวดจัตวาศกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอินทรมนตรีแย้ม ได้เรียบเรียงไว้ในรัชกาลที่ 5”
จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ซึ่งตรงกับการครบรอบ 40 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทยกับจีนด้วย
หนังสือเล่มนี้ คือผลงานการศึกษาของ ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร นักประวัติศาสตร์ชื่อดังและคณะ นำเสนอหลักฐานเอกสารชั้นต้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีนตั้งแต่สมัยศรีอโยธยาต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปกแข็ง เย็บกี่ ไสกาว หนากว่า 500 หน้า เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของสยามกับจีนในห้วงเวลาดังกล่าว เป็นเรื่องราวชวนอ่านและตีความจากเอกสารต้นฉบับที่ชวนให้เดินทางย้อนเส้นเวลาแห่งอดีตกาลผ่านตัวอักษรในทุกบรรทัด
‘สังคมจีนในประเทศไทย’
จากจีน (กลืน) เป็นไทย อดีตไกลโพ้นสู่ยุคร่วมสมัย
เข้มข้นเกินพรรณนา ต้องหามาอ่านให้จงได้ สำหรับหนังสือ สังคมจีนในประเทศไทย ที่พ่วงท้ายอีกประโยคบนปกว่า ‘ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์’ เพราะไม่ใช่เพียงการให้ข้อมูลดิบ แต่เป็นการขบคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ จากมุมมองของนักวิชาการชื่อดังอย่าง จี. วิลเลียม สกินเนอร์ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ นั่งเก้าอี้บรรณาธิการ
การันตีความแน่นทุกมิติด้วยข้อมูลที่ผู้เขียนเข้ามาทำการวิจัยเกี่ยวกับคนจีนในประเทศไทยระหว่างทศวรรษ 2490 และรวบรวมเรื่องราวคนจีนตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้น จนถึงประเทศไทยในยุคต้นสงครามเย็น (พ.ศ.2500) มาจำแนก แจกแจง และให้คำอธิบายอย่างลุ่มลึก โดยเฉพาะประเด็นที่คนจีนกลมกลืนตัวเองกลายเป็นคนไทย (เชื้อสายจีน) ผ่านข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะข้อมูลร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นสถิติตัวเลขคนจีนในไทย ข่าวหนังสือพิมพ์จีนในไทย การกระจายตัวและชุมชนคนจีนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย ฯลฯ ฉายภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อย่างรอบด้านจนเป็นอีกเล่มที่ต้องอ่านในเทศกาลสำคัญนี้
ระหว่างบรรทัด ‘สถาปัตย์แดนมังกร’
พลิกสุสาน อ่านจิ๋นซี
เป็น 2 เล่มที่นำมาอ่านคู่กันแบบวางไม่ลง นั่นคือ ระหว่างบรรทัด สถาปัตย์แดนมังกร ผลงาน นิธิพันธ์ วิประวิทย์ ซึ่งรวบรวมสถาปัตยกรรมอันงามสง่าบนแผ่นดินจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาบอกเล่าภาพกว้าง พร้อมชวนให้โฟกัสจุดต่างๆ ผ่านแว่นขยายทางวิชาการควบคู่สุนทรียศาสตร์ นำเสนอทั้งประวัติความเป็นมา สื่อสัญญะอีกทั้งความหมายที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาตะวันออก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการเปรียบเทียบแนวคิดระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและมุมอื่นๆ ของโลกไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง เนื่องด้วยผู้เขียนเป็นสถาปนิกผู้สนใจในประวัติศาสตร์จีน
อีกเล่ม คือ พลิกสุสาน อ่านจิ๋นซี การันตีความมันส์ด้วยชื่อผู้แต่ง นาม ‘สมชาย จิว’ ซึ่งเล่าประวัติศาสตร์ได้อย่างมีอรรถรส จน 11 บทผ่านไปอย่างว่องไวราวสายลมพัด เผยให้เห็นความสำคัญของสุสานทหารตุ๊กตาดินเผาโบราณอายุกว่า 2,000 ปี พร้อมสืบย้อนไปเมื่อครั้งแผ่นดินจีนยังไม่ได้เป็นปึกแผ่น ทว่า แบ่งเป็นแว่นแคว้นต่างๆ ที่คุกรุ่นด้วยการรบพุ่ง ประหัตประหารชิงอำนาจเหนือดินแดน ผู้คน และทรัพยากร ก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้จะสถาปนาจักรวรรดิได้อย่างมั่นคง กลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนที่ชาวโลกไม่เคยลืม
‘งามเพราะแต่ง’ ประทินโฉมตำรับจีน
ปรัชญา การเมือง เรื่อง ‘ความงาม’
บนไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์อารยธรรมจีนที่ยาวนาน ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวของราชวงศ์ สงคราม การห้ำหั่นในกลศึกแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังมีเรื่องราวของ ‘ความงาม’ ที่มีแนวคิดเบื้องหลังอันลึกซึ้งอย่างเหลือเชื่อ บ่งบอกวิธีคิด ทัศนคติ และค่านิยม ข้อมูลความรู้และวิทยาการด้านการประทินโฉมและบำรุงร่างกายสอดแทรกอยู่ในตำราแพทย์ ตำราเกษตร และตำราช่าง เผยให้ทราบว่าสังคมจีนให้ความสำคัญต่อการดูแลรูปลักษณ์เรือนกายอย่างยิ่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคำกล่าวที่ว่า การแต่งหน้า แต่งความงาม เปรียบเหมือนการปกครองประเทศ การปกครองประเทศเหมือนการเขียนคิ้ว การวาดหน้า ต้องมีหลักการกฎหมายที่ดี ใช้การลงโทษ การให้รางวัลที่สวยงาม อันเป็นคำกล่าวของ หาน เฟยจื่อ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่
ผลงานเล่มนี้ของ หลี่หยา แปลโดย เรืองชัย รักศรีอักษร คือผลงานคุณภาพ ที่นำเสนอข้อมูลว่าด้วยการประทินโฉมและเครื่องสำอางในตำรับตำราโบราณของจีนจากยุคต่างๆ อีกทั้งสูตรยา ตลอดจนตำนานของบุคคลสำคัญมากหน้าหลายตาที่เป็นแรงบันดาลใจหรือต้นกำเนิดของค่านิยมความงามทั้งตามขนบจารีตไปถึงความงามอย่างแตกต่างหลากหลาย
มาตราชั่งตวงวัดของจีน ภาคเครื่องหอม การแต่งผม (หนวดเครา) เครื่องสำอาง แป้งผัดหน้า ครีมทาหน้า ไต้เขียนคิ้ว ครีมทาปาก การประดับหน้า การทำเล็บ และการบำรุงผิว คือสารบัญใน 344 หน้า อัดแน่นด้วยเนื้อหาชวนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เพลินตาด้วยภาพประกอบ 4 สี ที่อาจทำให้มองนิยามความงามด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมตลอดกาล
‘เกิดใหม่ในกองเพลิง’
เรื่องสั้นจีนสมัยใหม่ 1 ศตวรรษ 1919
จากประวัติศาสตร์ งานศิลป์ และการเมือง มาถึงวรรณกรรมร่วมสมัยสุดเข้ม อย่าง เกิดใหม่ในกองเพลิง รวมเรื่องสั้นผลงาน 9 นักเขียนเบอร์ใหญ่ในวงวรรรณกรรมจีนสมัยใหม่ ได้แก่ เสิ่นฉงเหวิน เยี่ยเซิ่งเถา เหลาเส่อ ปิงซิน อวี้ต๋าฟู ปาจิน เหมาตุ้น อู๋จู่เซียง และติงหลิง ในวาระครบรอบ 100 ปี ขบวนการ 4 พฤษภาคม 1919 เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เหล่านักศึกษาจีนกว่า 3,000 คน จาก 13 มหาวิทยาลัย รวมตัวที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อต่อต้านมติของที่ประชุมสันติภาพ
รัชกฤช วงษ์วิลาศ และคณะ แปลอย่างสุดฝีมือเพื่อมอบอรรถรสแก่ผู้อ่านในทุกถ้อยคำ
เหินห่าว BUSINESS
‘อยากเก่งธุรกิจต้องคิดแบบจีน’
ปิดท้ายด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจที่จูงมือให้ไปล้วงเคล็ด (ไม่) ลับ ของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจากโมเดลสมอง สองมือ และความเป็นอัจฉริยะด้านการค้าที่เสมือนเป็นส่วนหนึ่งในดีเอ็นเอของชาวจีน วรมน ดำรงศิลป์สกุล ผู้เขียน นำเสนอข้อมูล ความรู้และเทคนิคมากมายที่ช่วยให้เข้าใจว่าการคิดและทำอย่างจีนนั้นพิเศษกว่าตรงไหน
จะสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อย่างไร