เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’ ลงเรือมหาสมบัติ กับฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 เข้มข้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมปมปริศนา
หันหัวเรือกลับมาอีกครั้ง สำหรับ เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง” ผลงาน ปริวัฒน์ จันทร ซึ่งได้รับการพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 4 ด้วยความเข้มข้นดังเดิม เพิ่มเติมคือความสมบูรณ์ที่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาและภาพประกอบ 4 สี ใน 3 หัวข้อ ได้แก่ ตามรอยเจิ้งเหอในนครนานกิง เมืองสำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับชีวประวัติของเจิ้งเหอและกองเรือมหาสมบัติซึ่งขึ้นแท่นมรดกโลก หลวงพ่อโตซำปอกงและรูปเคารพเจิ้งเหอในประเทศไทยหลายจังหวัด และปมปริศนาการหายตัวไปของ ‘เจี้ยนเหวิน’ จักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์หมิง
การันตีคุณภาพด้วย 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลชมเชย ประเภทสารคดี ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี พ.ศ.2547 และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสือประเภทสารคดีแนะนำให้อ่าน ในการประกวดหนังสือเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ.2547
นอกจากนี้ ยังมีคำนำเสนอโดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ กรมศิลปากร ซึ่งกล่าวถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งเหอกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาไว้อย่างน่าสนใจ
สำนักพิมพ์มติชน ชวนย้อนอดีตกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์เมื่อจีนขยายอำนาจ อ่านเรื่องราวของ ‘เจิ้งเหอ’ ตั้งแต่ถิ่นกำเนิดในคุนหมิง ระหกระเหินจากบ้านไปเป็นขันทีของว่าที่จักรพรรดิ ก่อนจะแสดงฝีมือและปัญญาเข้าตา จนได้เป็นแม่ทัพกองเรือมหาสมบัติบุกเบิกการสำรวจทางทะเลของจีนในช่วงราชวงศ์หมิง โดยการอุปถัมภ์ส่งเสริมจากจักรพรรดิหย่งเล่อ ผู้มองเห็นประโยชน์ทางการค้าทางทะเลทั้งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม สู่การขยายพระราชอำนาจให้กว้างไกลตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงชายฝั่งแอฟริกา จวบจนสิ้นสุดแผนการสำรวจทางทะเล คงเหลือไว้เพียงบันทึกบอกเล่าเรื่องราวและมรดกทางวัฒนธรรมของความสัมพันธ์กับบ้านเมืองในอดีตจากเจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’ นักเดินเรือผู้เกรียงไกรที่สุดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
เจิ้งเหอ ซานเป่า ซำปอกง
‘เจิ้งเหอ’ คือขันทีผู้ทำงานรับใช้เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของราชสำนักหมิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพบัญชาการกองเรือมหาสมบัติของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1943-1967) ล่องทะเลแผ่อิทธิพลทางการค้าและการเมืองทั่วมหาสมุทร ตั้งแต่ทะเลจีนใต้จนถึงชายฝั่งแอฟริกา
เกิดที่ตำบลคุนหยาง ในนครคุนหมิง แห่งมณฑลยูนนาน มีสกุลเดิมว่า “หม่า” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “มะหะหมัด” ในภาษาอาหรับ เกิดใน ค.ศ.1371 พื้นเพเดิมของครอบครัวเป็นชาวมุสลิมที่อพยพมาจากดินแดนทางภาคตะวันตก แถบเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในปัจจุบัน เจิ้งเหอมีชื่อรองคือ “ซานเป่า” แปลว่าบุตรคนที่ 3 อีกทั้งยังแปลว่าดวงแก้วทั้ง 3 ประการ ซึ่งก็คือพระรัตนตรัย ต่อมาจึงได้มีการเรียกเจิ้งเหออีกชื่อหนึ่งว่า “ซานเป่ากง” หรือ “ซำปอกง” ในสำเนียงจีนแต้จิ๋ว โดยคำว่า “กง” หมายถึง ปู่หรือผู้อาวุโส ใช้เรียกต่อท้ายชื่อเพื่อให้เกียรติ
ซําปอกง เป็นตํานานที่คนเชื้อสายจีนในบางประเทศของภูมิภาคอุษาคเนย์เชื่อถือและให้ความเคารพ ทั้งในฐานะที่มีความเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของบรรพบุรุษของตน และทั้งในฐานะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น ที่วัดอันชอลในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี วัดโสธรวรารามวรวิหาร ที่ฉะเชิงเทรา และวัดพนัญเชิง ที่พระนครศรีอยุธยา
จากขันทีสู่แม่ทัพบัญชาการ ‘กองเรือมหาสมบัติ’
กลับมาที่ชีวิตของเจิ้งเหอ เมื่อราชวงศ์หมิงรุกไล่ทหารมองโกลซึ่งตั้งฐานที่มั่นในนครคุนหมิง เขตมณฑลยูนนานได้สำเร็จ เจิ้งเหอในฐานะเชลยก็ถูกจับโดยกองทหารราชวงศ์หมิงกลับไปยังนครนานกิง และถูกตอนเป็นขันทีเพื่อส่งตัวเข้ามารับใช้ในวังของเจ้าชายจูตี้ ซึ่งก็คืออนาคตจักรพรรดิหย่งเล่อโดยเจิ้งเหอได้รับการศึกษางานเขียนของขงจื๊อและเมิ่งจื๊อเช่นเดียวกับนักศึกษาชาวจีนทั้งหลาย ศึกษาตำราพิชัยสงคราม การบัญชาการรบ และมีโอกาสออกงานการศึกกับเจ้าชายจูตี้หลายครั้ง โดยมีบทบาทอย่างโดดเด่นในการร่วมรบกับพวกมองโกลใน ค.ศ.1390 พิทักษ์เมืองเป่ยผิงใน ค.ศ.1399 ตลอดจนการยกทัพลงใต้ใน ค.ศ.1402 เพื่อยึดนครนานกิง เจิ้งเหอจึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้าชายจูตี้อย่างมาก
เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อขึ้นเสวยราชย์นั้น พระองค์ทรงให้อำนาจแก่เหล่าขันทีผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ช่วงชิงบัลลังก์ให้แด่พระองค์ โดยพระราชทานรางวัลและแต่งตั้งให้เจิ้งเหอมีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างพระราชวัง สุสาน จัดหาของใช้ให้แก่ราชสำนัก พร้อมกับพระราชทานชื่อสกุลให้ใหม่ว่า “เจิ้ง” แทนสกุลเดิมว่า “หม่า”
ใน ค.ศ.1403 ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียว จักรพรรดิหย่งเล่อมีพระบรมราชโองการให้ก่อสร้างกองเรือสินค้า เรือรบ และเรือสนับสนุน เพื่อไปเยือนยังเมืองท่าในทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย ทำการค้าทางทะเลและแสวงหาผลกำไรเข้าสู่ราชสำนัก นับเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติจีน โดยแต่งตั้งให้เจิ้งเหอเป็นแม่ทัพบัญชาการกองเรือมหาสมบัติ การสำรวจทางทะเลของเจิ้งเหอไม่ใช่เพียงการเข้าไปค้าขายนำสินค้าจากดินแดนไกลโพ้นกลับมาจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายพระราชอำนาจของราชวงศ์หมิงให้กว้างไกลกว่าเดิมอีกด้วย
กองเรือของนายพลเจิ้งเหอนั้น มีเรือถึง 62 ลํา มีทหารประจําการไปกับเรือรวมทั้งหมด 27,870 คน เรือลําที่ใหญ่ที่สุดยาว 140 เมตร และกว้างถึง 60 เมตร มีใบลําละ 12 ใบ ลูกเรือประจําลําละ 300 คน บรรทุกผู้โดยสารได้ลําละ 1,000 คน จัดได้ว่าเป็นกองเรือขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกสมัยโบราณ เจิ้งเหอนั้นมีเชื้อชาติมองโกล พื้นเดิมอยู่ในแถบเอเชียกลาง และนับถือศาสนาอิสลาม ตัวท่านเองเป็นบุตรของหะยี (หัญจี) เชื้อสายของท่านถูกจีนกวาดต้อนเทครัวมาตั้งหลักแหล่งในยูนนานตั้งแต่ชั้นปู่ และมาถึงตัวท่านก็ได้เป็นขันทีเข้ารับราชการในพระจักรพรรดิจีน
ช่วงเวลาการเดินทาง มีการสํารวจเส้นทางเรือถึง 7 ครั้ง ในระยะเวลา 28 ปี ระหว่าง พ.ศ.1948 จนถึง พ.ศ.1976 แวะเยี่ยมประเทศต่างๆ ถึง 30 ประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่อินโดนีเซีย ถึงเมืองเอเดน (ทางใต้ของอาระเบีย) จนจรดมาดากัสการ์ทางด้านตะวันออกของแอฟริกา ในหนังสือบางเล่มระบุว่าเจิ้งเหอได้แวะเข้ามาเมืองไทยในเดือนที่ 9 เมื่อ พ.ศ.1953
คลื่นทะเล กระเพื่อมประวัติศาสตร์ เมื่อจีนหนุน ‘เจ้านครอินทร์’ เสวยราชย์
อีกประเด็นสำคัญในการเดินทางของเจิ้งเหอที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยถึงขนาดสร้างความเปลี่ยนแปลง คือการที่จีนอุดหนุนเจ้านครอินทร์แห่งรัฐสุพรรณภูมิ ยกกําลังยึดครองอยุธยา ขับไล่กษัตริย์เชื้อสายละโว้ (ลพบุรี) โดยให้เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซําปอกง” ยกขบวนสําเภาผ่านเข้ามาจากอ่าวไทย เจ้านครอินทร์ก็ได้เสวยราชย์ที่อยุธยา ระหว่าง พ.ศ.1952-1967
นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ของไทยจึงให้ความสนใจต่อการเดินทางของเจิ้งเหอ โดยเฉพาะการเดินทางครั้งที่ 2 ที่มายังอาณาจักรเสียนหลอ หรือกรุงศรีอยุธยา ว่าน่าจะมีส่วนกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญทางการเมืองของราชอาณาจักรสยามด้วย เพราะปีที่เจิ้งเหอเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นปีที่สมเด็จพระนครินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา โดยขุนนางทั้งหลายเป็นใจ ถอดสมเด็จพระรามราชาธิราชไปไว้ที่เมืองปทาคูจาม และเชิญเสด็จเจ้านครอินทร์จากสุพรรณภูมิเข้ามาเป็นกษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ที่เสวยอํานาจสืบเนื่องกันต่อมาอย่างยั่งยืนโดยตลอดจนกรุงแตกเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ.2112
เจ้านครอินทร์ คือเจ้านายไทยที่มีความคุ้นเคยกับราชสํานักจีนที่ให้การรับรองคณะทูตของพระองค์ แม้ในขณะที่ราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาจะตกอยู่ในอํานาจของราชวงศ์อื่น
เจ้านครอินทร์ คือเจ้านายไทย ผู้เคยเสด็จไปเป็นทูตยังราชสํานักจีนด้วยพระองค์เอง
เจ้านครอินทร์ เป็นผู้สืบเชื้อสายทางพระราชมารดาจากราชวงศ์สุโขทัย จนเกิดเป็นเรื่องบอกเล่าในลักษณะตํานานว่าเป็นพระร่วงที่ไปนําช่างทําถ้วยชามจากเมืองจีนมาทําที่สุโขทัย
ด้วยเหตุนี้เจ้านครอินทร์จึงมีความชอบธรรมที่จะขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเป็นสมเด็จพระนครินทราธิราช นับเป็นความชอบธรรมแบบใหม่ที่พระเจ้าจักรพรรดิจีนผู้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ได้พระราชทานมากับกองเรือรบของเจิ้งเหอเข้ามาแทนที่ความชอบธรรมแบบเก่า ที่เทวาสมมุติให้แก่กษัตริย์ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา ผู้สถาปนาและครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาแต่เดิม
ลงเรือมหาสมบัติไปกับเจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง” พร้อมสำรวจประวัติศาสตร์ความเกรียงไกรในด้านการสำรวจทางทะเลของจีน ที่แผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองทั่วท้องมหาสมุทรอย่างยิ่งใหญ่ได้แล้ววันนี้
เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที ‘ซำปอกง’
จำนวน 424 หน้า ราคา 420 บาท
ประกอบด้วย เนื้อหาเข้มข้น 15 บท ดังนี้
-คุนหยาง ถิ่นกำเนิดเจิ้งเหอ
-เจ้าชายหนุ่มกับขันทีน้อย
-อุดมการณ์แห่งความขัดแย้ง 2,000 ปี
-กองเรือมหาสมบัติอันเกรียงไกร
-ปลายทางแรกมุ่งสู่… เมืองคาลิคัท
-บทบาทของเจิ้งเหอกับอาณาจักรอยุธยา มะละกา และลังกา
-ราชทูตแห่งองค์จักรพรรดิมังกร
-การปรากฏกายของสัตว์เทพเจ้าในตำนาน
-ปักกิ่ง มหานครแห่งความโอฬาร
-เพลิงพิโรธที่พระราชวังต้องห้าม
-สมุทรยาตราครั้งสุดท้าย
-ความล่มสลายแห่งกองเรือมหาสมบัติ
-มรดกวัฒนธรรมซำปอกง
-ไขปริศนา “ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ” คือทายาทรุ่นใดของเจิ้งเหอ?
-ตามรอยเจิ้งเหอในนครนานกิง
ติดตามทุกช่องทางของสำนักพิมพ์มติชนที่
Line : @matichonbook
Youtube : Matichon Book
Tiktok : @matichonbook
Twitter : matichonbooks
Instagram : matichonbook
โทร 0-2589-0020 ต่อ 3350-3360