“อโยธยา” เมืองต้นกำเนิด “คนไทย” และ “อยุธยา มรดกโลก”

“อโยธยา” เมืองต้นกำเนิด “คนไทย” และ “อยุธยา มรดกโลก”

อโยธยา” เมืองต้นกำเนิด
คนไทย” และ “อยุธยา มรดกโลก”
สุจิตต์ วงษ์เทศ

ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก” อย่างแท้จริง ต้องร่วมกันพิทักษ์ “อโยธยา” เมืองต้นกำเนิด “คนไทย” และ “อยุธยา” ไม่ใช่เรียกร้องให้ทำลายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตนเกี่ยวกับธุรกิจที่ดินโดยรอบ (ภาพจาก FB เพจ สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)

อโยธยาเป็นเมืองต้นกำเนิดคนไทยและ “อยุธยา มรดกโลก” ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองต้นกำเนิดกรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์, และประเทศไทย (ไม่ใช่สุโขทัยอย่างที่เข้าใจคลาดเคลื่อน)

ADVERTISMENT

ดังนั้น อโยธยาแทนที่สุโขทัยใน (เกือบ) ทุกเรื่อง เช่น ที่เคยเชื่อว่าสุโขทัย “ราชธานีแห่งแรกของไทย” ต้องเปลี่ยนเป็น อโยธยา “ราชธานีแห่งแรกของไทย”

อะไรที่เคยเชื่อว่ามีกำเนิดในสุโขทัย ต้องเปลี่ยนเป็นมีกำเนิดในอโยธยา [ยกเว้น (1.) นางนพมาศ (2.) จารึกพ่อขุนฯ]

ADVERTISMENT


เมืองอโยธยา มีคูน้ำคันดินทำผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 1.4 x 3.1 กิโลเมตร [สำรวจตรวจสอบและทำผังโดย พเยาว์ เข็มนาค (เมื่อยังรับราชการกรมศิลปากร) พิมพ์ครั้งแรก พ.. 2562] (บน) ผังเมืองอโยธยา (กรอบขาว) จากภาพถ่ายทางอากาศ พ.. 2497 (ล่าง) ผังเมืองอโยธยา บนแผนที่อยุธยาปัจจุบัน

ขวัญและจิตวิญญาณอโยธยา

ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยพึ่งพาไม่ได้ เพราะแต่งเหมือนนิยาย ขายเฟกนิวส์

สังคมไทยทุกวันนี้มีความรู้สึกว้าวุ่น เคว้งคว้าง กลางสุริยจักรวาล เพราะหานิยามไม่ได้ หาคำอธิบายไม่พบว่าคนไทยเป็นใคร? ประเทศไทยมาจากไหน?

อโยธยาและปริมณฑล มีหลักฐานครบถ้วน ทั้งอยู่ใต้ดินและอยู่เหนือดิน ว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดคนไทย, ภาษาไทย, ประเทศไทย, และอื่นๆ อีกมากที่มีพลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์นับไม่ถ้วน

สังคมไทยต้องร่วมกันพิทักษ์อโยธยาทั้งเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ไทย ถ้าอโยธยาถูกทำลายก็เท่ากับหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยหายเหี้ยนไปด้วย ซึ่งสร้างใหม่ไม่ได้

พิทักษ์รักษาอโยธยา ไม่ใช่พิทักษ์รักษาอิฐ, หิน, ดิน, ทราย แต่พิทักษ์ขวัญหรือจิตวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในอิฐ, หิน, ดิน, ทราย เหล่านั้นของเมืองอโยธยา เพื่อเป็นหลักฐานการเขียนประวัติศาสตร์ไทยใกล้เคียงความจริง ว่าเริ่มต้นคนไทยและประเทศไทยที่อโยธยา ไม่ใช่สุโขทัย

อัลไตน่านเจ้า จบแล้ว

คนไทยแท้มีกำเนิดบริเวณเทือกเขาอัลไต ต่อมาสร้างอาณาจักรน่านเจ้า แต่ไม่พบหลักฐานวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา

จึงถูกยกเลิกนานหลายสิบปีมาแล้ว จบแล้ว (แต่มีบางกลุ่มไม่ยอมจบ)

สุโขทัยราชธานีแห่งแรก จบแล้ว

เมื่ออัลไตน่านเจ้าถูกยกเลิกนานแล้ว สุโขทัยราชธานีแห่งแรกก็ต้องถูกยกเลิกตามไปด้วย เพราะเป็นเรื่องสืบเนื่องกัน

ดังนั้น ไม่มีพูดถึงอีกว่าสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย (เว้นเสียแต่ผู้ตามไม่ทันข้อมูลที่เปลี่ยนไป จึงยังไม่จบ)

อโยธยา เมืองต้นกำเนิดคนไทย และประเทศไทย

อโยธยา เมืองต้นกำเนิดคนไทย, ภาษาไทย และสืบเนื่องสายตรงเป็นอยุธยา, ธนบุรี, รัตนโกสินทร์, ประเทศไทย

แต่ที่ผ่านมาถูกบังคับสูญหายจากประวัติศาสตร์ไทยด้วยเหตุจาก “ลัทธิคลั่งเชื้อชาติไทย” ของคติชาตินิยมจากเบื้องบนชนชั้นนำ

อยุธยา ราชอาณาจักรสยามแห่งแรก

อยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก เพราะรวบรวมรัฐต่างๆ โดยรอบหลายแห่งไว้ในอำนาจมากที่สุดก่อนรัฐอื่นๆ ในแผ่นดินเจ้านครอินทร์ (สมเด็จพระนครินทรา ธิราช) ตั้งแต่หลัง พ.. 1900 (มีรายละเอียดในหนังสือ อยุธยาของเรา โดย ศรีศักร วัลลิโภดม พิมพ์ครั้งแรก พ.. 2527)

ราชอาณาจักรสยาม” ชื่อที่ชาวยุโรปเรียกกรุงศรีอยุธยา

[ภาพจากแผนที่ราชอาณาจักรสยามในหนังสือ กรุงศรีอยุธยาในแผนที่ฝรั่ง ของ ธวัชชัย ตั้งศิริวานิช สำนักพิมพ์ มติชน พิมพ์ครั้งที่ 2 .. 2566]

อยุธยาไม่ใช่ราชธานีที่สอง ซึ่งมีขึ้นหลังการล่มสลายของสุโขทัยราชธานีแห่งแรก ตามตำราคลาดเคลื่อนของทางการ แต่ไม่พบหลักฐานสนับสนุน

ตามหลักฐานพัฒนาการแล้ว อยุธยาเป็นทายาททางสังคมและวัฒนธรรมสุวรรณภูมิ ที่สืบเนื่องมรดกตกทอดจากบ้านเมืองเก่าแก่นับพันปีมาแล้วของบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา บนภาคพื้นทวีป ซึ่งนานมากก่อนกรุงสุโขทัยที่เพิ่งมีสมัยหลัง (โดยการสนับสนุนของกลุ่มบ้านเมืองที่ภายหลังเป็นกรุงศรีอยุธยา)

ดังนั้น กรุงสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก เพราะสุโขทัยเป็นรัฐขนาดเล็กแห่งหนึ่งในครั้งนั้นที่เติบโตขึ้นจากการสนับสนุนของรัฐละโว้และรัฐอโยธยา โดยกรุงสุโขทัยมีพื้นที่ทางใต้สุดแค่เมืองพระบาง (. นครสวรรค์) ส่วนบริเวณต่ำลงไปต่อจากนั้นเป็นพื้นที่ของรัฐละโว้อโยธยา (. ลพบุรี. พระนครศรีอยุธยา) กับรัฐสุพรรณภูมิ (. สุพรรณบุรี)

.5 ทรงบอกว่าอโยธยาเป็นต้นกำเนิดอยุธยา


เมืองอโยธยาเป็นเมืองเก่า หรือเมืองต้นกำเนิดกรุงศรีอยุธยา ร.5 ทรงเห็นความสำคัญจึงทรงย้ำไว้ในพระราชดำรัสเปิดโบราณคดีสโมสร เมื่อคราวเสด็จไปทรงประกอบพิธีรัชมังคลาภิเษกที่พระราชวังกรุงเก่า

[ภาพ ร.5 เสด็จออกประทับยังรัตนสิงหาสน์ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท และโปรดให้ข้าราชการและราษฎรมณฑลกรุงเก่าเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ร.. 126 (.. 2450)]

.5 เป็นพระองค์แรกที่ทรงเห็นความสำคัญมาก ว่าอโยธยาเป็นเมืองเก่าหรือต้นกำเนิดกรุงศรีอยุธยา

[ในพระราชดำรัสเมื่อ 116 ปีมาแล้ว ครั้งเสด็จทรงเปิด “โบราณคดีสโมสร” บริเวณพระราชวังโบราณพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.. 2450]

.5 ทรงชี้ว่าเมืองอโยธยามีสถูปเจดีย์วัดวาอารามสำคัญๆ ได้แก่ วัดพนัญเชิง, วัดใหญ่ชัยมงคล, วัดอโยธยา (วัดเดิม), วัดกุฎีดาว, วัดมเหยงคณ์ เป็นต้น


เมืองอโยธยาอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยา บริเวณสถานีรถไฟอยุธยา (พื้นที่จะสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงตามโครงการฯ ของกระทรวงคมนาคม) เป็นที่รับรู้ตรงกันของนักปราชญ์ราชบัณฑิตสืบเนื่องมาตั้งแต่ พ.. 2450 แผ่นดิน ร.5 ราว 116 ปีมาแล้ว ถึงปัจจุบัน

อาคารไม้สถานีรถไฟอยุธยา (เดิมชื่อสถานีกรุงเก่า) สร้างเมื่อแผ่นดิน ร.5 .. 2436 เปิดใช้งานเมื่อ พ.. 2439 ต่อมา แผ่นดิน ร.6 .. 2464 เปลี่ยนเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ออกแบบก่อสร้างโดยสถาปนิกกรมรถไฟชาวอิตาเลียน นายอัลลิบาเล ริกาซซิ (https://finearts.go.th/main/view/16474-สถานีรถไฟอยุธยา)

พระนครศรีอยุธยาปัจจุบัน(ซ้าย) สถานีรถไฟอยุธยา (วงสีแดง) อยู่บนพื้นที่เมือง อโยธยา (กลาง) แม่น้ำป่าสัก (สายใหม่) เดิมเรียกคูขื่อหน้า ซึ่งเป็นคูเมืองด้านตะวันตกของเมืองอโยธยา แต่ภายหลังถูกขยายเป็นแม่น้ำ (ขวา) ตลาดหัวรอและพีนที่ต่อเนื่องในเกาะเมืองอยุธยา (ภาพจาก โดรน มติชนทีวี)

นักปราชญ์และนักวิชาการที่ค้นคว้าเรื่องเมืองอโยธยา

เมืองอโยธยามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นที่รับรู้มากกว่า 100 ปี มาแล้ว ตั้งแต่แผ่นดิน ร.5 และมีการแบ่งปันแผยแพร่ข้อมูลความรู้เป็นครั้งคราวต่อเนื่อง

นักปราชญ์และนักวิชาการตั้งแต่แผ่นดิน ร.5 ถึงปัจจุบัน มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความสำคัญเมืองอโยธยา ได้แก่

พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา, ควบคุมงานขุดค้นและบูรณะพระราชวังโบราณอยุธยา ถวาย ร.5,

ธนิต อยู่โพธิ์ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร),

มานิต วัลลิโภดม (อดีตนักปราชญ์ข้าราชการผู้ใหญ่ กรมศิลปากร)

หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล (อดีคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร),

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (อดีตอธิบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

จิตร ภูมิศักดิ์ (อดีตนักปราชญ์ของประชาชน),

พเยาว์ เข็มนาค (อดีตหัวหน้าช่างสำรวจโบราณคดี กรมศิลปากร) เป็นต้น

นอกจากนั้นทุกวันนี้ยังมีนักค้นคว้านักวิชาการร่วมสมัยจำนวนไม่น้อยทุ่มเทศึกษาค้นคว้าและวิจัยอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะ ศรีศักร วัลลิโภดม นักปราชญ์แห่งสยามประเทศ, บรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ (อดีตอาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ แล้วผลิตงานวิชาการต้นแบบเมื่อ 57 ปีที่แล้ว เรื่อง กรุง อโยธยาในประวัติศาสตร์ (พิมพ์ครั้งแรกในวารสาร สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับพิเศษว่าด้วยประวัติศาสตร์ (พิมพ์ครั้งแรก พ.. 2509 หน้า 58-87) ครั้งหลังสุดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แสดงผังเมืองอโยธยาพร้อมหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี ในวารสาร เมืองโบราณ ฉบับอโยธยาศรีรามเทพนคร (มกราคมมีนาคม 2560)

ชนชาติไทย “ไม่ใช่” คนไทย

ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักที่ใช้งานในรัฐบาลปัจจุบัน (มาจากเลือกตั้ง 2566) เป็นสำนวนเดียวกับประวัติศาสตร์ไทยของเผด็จการ (มาจากรัฐประหาร 2557) ซึ่งถูกกำหนดโครงสร้างโดยชนชั้นนำเมื่อศตวรรษก่อน

ขณะนี้ถูกใช้ควบคุมและกล่อมเกลาความคิดสังคมโดยกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านการเรียนการสอนทั้งในระบบนอกระบบ และตามอัธยาศัยไปตลอดชีวิต

ประวัติศาสตร์กระแสหลักเชื่อว่ามีจริงเรื่อง “ชนชาติไทยเชื้อชาติไทยสายเลือดบริสุทธิ์” ดังนั้นประวัติศาสตร์กระแสหลักเป็นประวัติศาสตร์ของ “ชนชาติไทยเชื้อชาติไทยสายเลือดบริสุทธิ์” ซึ่งขัดกับหลักฐานวิชาการในโลกสากล

ชนชาติไทยเชื้อชาติไทยไม่มีจริง เพราะในโลกวิชาการสากลพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับทั่วไปในโลกว่าเชื้อชาติ (Race) ไม่มีจริงทางวิทยาศาสตร์ (มีหลักฐานเป็นหนังสือวิชาการทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงมากมาย) ดังนั้นที่เรียกชนชาติไทยซึ่งมาจากเชื้อชาติไทยจึงไม่มีจริง

คนไทย มีจริง พบครั้งแรกในเมืองอโยธยาบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา (ไม่พบในลุ่มน้ำอื่นๆ) และสืบทอดถึงเมืองอยุธยา พบหลักฐานในจดหมายเหตุลา ลูแบร์เป็นชื่อทางวัฒนธรรม (ไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ) ซึ่งสมมุติขึ้นเรียกตนเองของคนกลุ่มหนึ่งที่มีภาษาและวัฒนธรรมไทย

คนไทยเป็นลูกผสมจากชาวสยาม หมายถึงคน “ไม่ไทย” หลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีภาษาและวัฒนธรรมไทย ซึ่งหมายถึงภาษาและวัฒนธรรมไทไตที่ผสมกลมกลืนกับภาษาและวัฒนธรรม “ร้อยพ่อพันแม่” ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ มอญ, เขมร, ลาว, มลายู, จีน, อินเดีย, อิหร่าน (เปอร์เซีย), และอื่นๆ ไม่จำกัด

ดังนั้น คนไทยของกระทรวงวัฒนธรรม ต่างกับคนไทยในคำอธิบายนี้ จะคัดข้อความของกระทรวงวัฒนธรรมมาเป็นพยาน (จัดย่อหน้าใหม่ให้อ่านสะดวก) ดังนี้

คนไทยก็คือคนที่ใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน

จากการศึกษาของนักวิชาการพบข้อมูลที่น่าสนใจว่านอกจากคนไทยในประเทศไทยแล้ว ยังพบกลุ่มคนไท หรือไต ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่เป็นวงกว้างในเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในแคว้นอัสสัม ประเทศอินดีย สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลกวางสี ประเทศจีน และในประเทศเวียดนาม

ซึ่งรู้จักในชื่อต่างกันแต่ละท้องถิ่น เช่น ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทน้อย ไทเขิน ไทอาหม ผู้ไท ไทดำ ไทขาว ไทลาว ไทยวน เป็นต้น

คนไททุกประเทศรวมกันมีจำนวนกว่า 100 ล้านคน”

(จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ชาติไทย กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก พ.. 2558 หน้า 36)

หลักฐานวิชาการสากลทางนิรุกติศาสตร์รับรู้ทั่วกันว่าไท, ไต เป็นคำเดียวกัน (ต่างกันที่บางกลุ่มออกเสียงตรง ท เป็น ท แต่บางกลุ่มออกเสียง ท เป็น ต) จึงมีความหมายเดียวกันว่า ชาว, คน เช่น ไทบ้าน หมายถึงชาวบ้าน, ไตลื้อ หมายถึงชาวลื้อ เป็นต้น เหล่านั้นไม่หมายถึงไทย หรือคนไทยอย่างเดียวกับคนไทยในประเทศไทย

มีตัวอย่างเมื่อคนจากไทยไปกวางสี (ในจีน) พบชาวจ้วงพูดภาษาไทไต มีคำกูมึง จึงทึกทักว่าพูดเหมือนคนไทย แต่จ้วงท้วงว่า “มึงพูดเหมือนจ้วง” (หมายถึงเขาไม่ใช่คนไทย แต่มึงต่างหากพูดเหมือนจ้วง)

แต่นักค้นคว้าและนักวิชาการไทยส่วนมากมักตีขลุมเหมารวมไท, ไต เหล่านั้นเป็นไทย (เหมือนคนไทยในประเทศไทย) ทำให้ประวัติศาสตร์กระแสหลักคลาดเคลื่อนมาก

เพราะหลักฐานวิชาการยืนยันตรงกันว่าคนไทย หรือคนเรียกตนเองว่าไทย เริ่มแรกมีในเมืองอโยธยา (พบหลักฐานลายลักษณ์อักษรในเมืองอยุธยา) แล้วแผ่ขึ้นสุโขทัยสมัยหลังจากนั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image