ตำนานความยิ่งใหญ่ของ ‘ลิงคินพาร์ค’ กับการจากไปของ ‘เชสเตอร์ เบนนิงตัน’

แม้ว่าจะมีรากมาจากดนตรีอัลเทอร์เนทีฟเมทัล แต่ “ลิงคินพาร์ค” (Linkin Park) กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคมิลเลนเนียม หรือช่วงทศวรรษที่ 2000 จากการนำองค์ประกอบของดนตรีฮิพฮอพ โมเดิร์นร็อก และบรรยากาศของดนตรีอิเล็กทรอนิกา เข้ามาผสมผสานในเพลงของพวกเขา

ลิงคินพาร์คพุ่งแรงขึ้นมาท่ามกลางการเคลื่อนไหวของดนตรีแร็พ-ร็อกในช่วงเวลาดังกล่าว นำโดยวงอย่างคอร์น (Korn) และลิมป์บิซกิต (Limp Bizkit) ซึ่งนำความแปลกแยกของกรันจ์มารวมกับเสียงที่ทึบ หนา และเกรี้ยวกราดแบบร็อก โดยสามารถเรียกดนตรีแนวนี้ว่าเป็น นูเมทัล (Nu metal) ก็ได้ ทว่าลิงคินพาร์คนำความเฉพาะตัวใส่เข้าไปในดนตรีของตนเอง โดยนอกจากการร้องสลับกันอย่างลงตัวในจังหวะจะโคนของนักร้องนำทั้ง 2 คนของวงคือ “เชสเตอร์ เบนนิงตัน” ที่มีพลังเสียงในแบบร็อกอย่างหาตัวจับได้ยาก กับแร็พเปอร์ “ไมค์ ชิโนดะ” แล้ว ในภาคดนตรีก็มีการใส่ลูกเล่นอย่างการสแครชแผ่นลงไปซ้อนทับเสียงกีตาร์ที่หนักหน่วง รุนแรง แต่ผ่านกระบวนการโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้มีสุ้มเสียงของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ปะปนอยู่ ทำให้ทางวงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในวงการแทบจะทันทีทันใดหลังจากออกอัลบั้มแรก “ไฮบริดธีโอรี” (Hybrid Theory)

และถึงแม้ว่าหากดูในด้านยอดขายแล้ว ลิงคินพาร์คไม่เคยก้าวผ่านความสำเร็จในระดับมหาศาลที่ตนเองสร้างไว้ตั้งแต่ออกเดบิวอัลบั้มได้อีกเลย แต่ก็มีวงดนตรีนูเมทัล หรืออัลเทอร์เนทีฟเมทัลน้อยวงนักที่จะสามารถเทียบกับลิงคินพาร์คได้ในช่วงยุครุ่งเรืองของพวกเขา

จุดเริ่มต้นของลิงคินพาร์คเกิดขึ้นเมื่อ ร็อบ เบอร์ดอน มือกลอง แบรด เดลสัน มือกีตาร์และแร็พเปอร์ ไมค์ ชิโนดะ เพื่อนร่วมโรงเรียนไฮสคูลในอะกูราฮิลส์ เซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งวงดนตรีแร็พ-ร็อก ชื่อ “ซีโร่” (Xero) ขึ้นมาเมื่อปี 1986 หลังจากนั้นไม่นาน มีสมาชิกอีก 3 คนมาเข้าร่วมวง คือ เดฟ “ฟีนิกส์” ฟาร์เรล มือเบส ไมค์ เวกฟิลด์ นักร้องนำ และโจเซฟ ฮาห์น ในตำแหน่งดีเจ

Advertisement

ซีโร่เริ่มต้นออกเดินสายแสดงสดตามสถานที่ต่างๆ ในนครลอสแองเจลิส บ้านเกิด ขณะเดียวกันก็พยายามติดต่อกับค่ายเพลงต่างๆ เพื่อเซ็นสัญญา อย่างไรก็ตามมีค่ายเพลงจำนวนน้อยนิดที่แสดงออกถึงความสนใจในตัวเดโมเทปที่วงนำเสนอไป และทางวงก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้เซ็นสัญญา ทำให้เวกฟิลด์ลาออกจากวงไป

หลังจากนั้นทางวงได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไฮบริดธีโอรี ในปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงที่เชสเตอร์ เบนนิงตัน เข้าร่วมวง และวงได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อสุดท้ายว่าลิงคินพาร์ค ซึ่งมีที่มาจากการสะกดชื่อของสวนสาธารณะลินคอล์นพาร์ก ในเมืองซานตาโมนิกาแบบผิดๆ!

การได้เบนนิงตันเข้ามารับหน้าที่ร้องนำร่วมกับชิโนดะ อย่างเข้าขาลงตัว ทำให้สมาชิกที่เหลือสามารถแสดงออกถึงความสามารถทางดนตรีได้อย่างโดดเด่นท่ามกลางคลื่นของวงนูเมทัลจำนวนมากที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1990 และเจฟฟ์ บลู รองประธานของวอร์เนอร์บราเธอร์ส ก็เห็นแววตรงนี้ของวงและได้จับลิงคินพาร์คเซ็นสัญญาเข้าเป็นศิลปินในสังกัดเมื่อปี 1999 หลังจากนั้นไม่นานก็ส่งทางวงให้ไปร่วมงานกับดอน กิลมอร์ โปรดิวเซอร์ดัง

Advertisement

ลิงคินพาร์คตั้งชื่อเดบิวอัลบั้มของพวกเขาว่า “ไฮบริด ธีโอรี” เป็นการทริบิวต์หรือยกย่องให้เกียรติกับอดีตของวง โดยอัลบั้มดังกล่าวออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมปี 2000 “ครอว์ลิง” (Crawling) และ “อิน ดิ เอนด์” (In the End) กลายเป็นเพลงฮิตตามคลื่นวิทยุต่างๆ โดยเพลงหลังขึ้นถึงอันดับ 1 ในอันดับเพลงโมเดิร์นร็อกชาร์ต ของบิลบอร์ด และยังขึ้นสูงสุดถึงอันดับ 2 ในชาร์ตซิงเกิล บิลบอร์ด ฮอต 100 แสดงถึงการได้รับความนิยมในกระแสหลักเป็นวงกว้างของวงและเพลงดังกล่าวยังเป็นตัวอย่างของความน่าดึงดูดในแนวดนตรีที่ผสมผสานของทางวง

ลิงคินพาร์คได้ทัวร์คอนเสิร์ตแฟมิลีแวลูส์และร่วมแสดงกับศิลปินอย่างไซเพรสฮิลล์ ทำให้ทางวงแสดงโชว์ไปมากถึง 320 รอบ เฉพาะเมื่อปี 2001 เพียงปีเดียว ในเดือนมกราคม 2002 อัลบั้มไฮบริด ธีโอรี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีอวอร์ดส์ 3 สาขา และสามารถจำหน่ายไปได้มากถึง 7 ล้านชุด แต่หลังจากนั้น ยอดขายของอัลบั้มนี้ก็พุ่งทะลุ 10 ล้านชุด ทำให้ได้รับสถานะ “ไดมอนด์” หรือแผ่นเสียงเพชร ส่งผลให้ ไฮบริด ธีโอรีกลายเป็น 1 ในเดบิวอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล

ถึงแม้ทางวงจะพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ลิงคินพาร์คใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือในปี 2002 ขลุกอยู่ในสตูดิโอร่วมกับโปรดิวเซอร์ ดอน กิลมอร์ เช่นเดิมเพื่อผลิตผลงานชุดต่อมา แต่ได้มีการออกอัลบั้มคั่นเวลามาในช่วงฤดูร้อนปีนั้น คือ “รีแอนิเมชั่น” (Reanimation) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นรีมิกซ์ของเพลงในอัลบั้มไฮบริด ธีโอรี เป็นการเอาใจแฟนๆ ที่กระตือรือร้นอยากฟังผลงานใหม่ของทางวงเร็วๆ

ผลงานชุดที่ 2 ของลิงคินพาร์ค “เมทีออรา” (Meteora) ออกวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม ปี 2003 โดยอัลบั้มนี้มีซาวด์ที่หนักแน่นและก้าวร้าวในแบบแร็พ-ร็อกมากขึ้น อย่างไรก็ตามเพลงอย่าง “นัมบ์” (Numb) “ซัมแวร์ ไอ บีลอง”(Somewhere I belong) และ “เบรกกิ้ง เดอะ แฮบบิท” (Breaking the Habit) ยังคงสานต่อความสำเร็จในความเป็นกระแสหลักของวงด้วยการติดอันดับในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 อย่างถ้วนหน้า

และเป็นอีกครั้งที่ทางวงออกทัวร์คอนเสิร์ตอย่างหนักรวมถึงการแสดงประจำปีครั้งที่ 2 ในโปรเจ็กต์ เรฟโวลูชั่นทัวร์ ซึ่งเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตของทางวงเองที่เปิดตัวเมื่อปี 2002 และยังมีการร่วมแสดงกับวงอย่างเมทัลลิกาและลิมป์บิซกิต นอกจากนี้ทางวงได้ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดไลฟ์ อิน เท็กซัส เป็นการตอกย้ำภาพความเป็นวงที่แสดงสดได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งแฟนเพลงชาวไทยที่เคยได้ชมการแสดงคอนเสิร์ตของลิงคินพาร์ค 2 ครั้งก่อนหน้านี้ในเมืองไทยเองก็รู้เป็นอย่างดี

ในช่วงเวลาดังกล่าวสมาชิกของวงได้แยกย้ายกันไปทำโปรเจ็กต์หรือออกผลงานส่วนตัว ก่อนที่ในปี 2004 ลิงคินพาร์กจะกลับมาพร้อมกับ “คอลลิชั่นคอร์ส” ที่ทางวงร่วมงานกับเจย์ซี ศิลปินแร็พชั้นนำ ซึ่งอัลบั้มนี้ ขึ้นอันดับ 1 ทันทีตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย

หลังจากนั้น เจย์ซีได้ขอให้ ไมค์ ชิโนดะ ออกโปรเจ็กต์เดี่ยวในแนวเพลงฮิพฮอพ ซึ่งเขาตอบตกลงโดยใช้ชื่อว่า ฟอร์ตไมเนอร์ (Fort Minor) และมีอัลบั้มชื่อ เดอะไรซิ่งไทด์ (The Rising Tide) ในปี 2005 โดยมีเจย์ซีนั่งแท่นดูแลการผลิตในตำแหน่ง เอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์

หลังจากนั้นลิงคินพาร์คได้กลับมารวมตัวเพื่อออกผลงานชุดที่ 3 ในปี 2006 ที่ได้เห็นชิโนดะก้าวเข้ามารับบทบาทในการโปรดิวซ์ร่วมกับริค รูบิน โปรดิวเซอร์มือทองอีกคนหนึ่งของวงการ ผลงานชุดนี้ “มินิทส์ทูมิดไนต์” (Minutes to Midnight) ที่ออกในเดือนพฤษภาคมปี 2007 เป็นร็อกในแบบดั้งเดิมมากขึ้นที่ทิ้งเครื่องหมายการค้าในการมีส่วนผสมของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ไว้เบื้องหลัง โดยอัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตของหลายๆ ประเทศทันทีที่ออกวางจำหน่าย และซิงเกิล “วอท ไอฟ์ ดัน” (What I’ve Done) ยังติดอันดับ 7 ชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 ด้วย

ในปี 2010 ทางวงร่วมงานกับริค รูบินอีกครั้ง ออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 “อะ เธาซันด์ ซันส์” (A Thousand Suns) โดยเปลี่ยนแนวมาเป็นงานเพลงเชิงทดลองที่ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากดนตรีแอมเบียนต์และอิเล็กทรอนิกา ซึ่งทำให้ความคิดเห็นของแฟนเพลงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

ในปีถัดมาเชสเตอร์ เบนนิงตัน ประกาศว่า ความตั้งใจของวงคือการมุ่งไปที่การผลิตอัลบั้มใหม่มากกว่าการเดินทางออกทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำให้เหนื่อยล้า และทางวงตั้งเป้าว่าจะออกอัลบั้มใหม่ทุกๆ 18 เดือน

ลิงคินพาร์คทำได้ตามคำสัญญาเมื่อออกอัลบั้มชุดที่ 5 “ลิฟวิ่งธิงส์” (Living Things) ในเดือนมิถุนายน 2012 ซึ่งคราวนี้เป็นการร่วมงานกับริค รูบิน เหมือนเช่นเดิม แต่อัลบั้มนี้ย้อนกลับไปเป็นซาวด์แบบผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของทางวงอีกครั้ง ตัวอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดตั้งแต่ออกวางแผงโดยจำหน่ายไปได้ 223,000 ชุด ในสัปดาห์แรก

และในช่วงเวลาที่ลิงคินพาร์กเริ่มต้นทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ในปี 2013 เบนนิงตันประกาศว่า เขาจะเข้ารับตำแหน่งนักร้องนำของวงสโตน เทมเพิล ไพล็อตส์ (เอสทีพี) แทนสก็อต วีแลนด์ โดยบอกว่าเขาไม่ได้จะออกจากลิงคินพาร์ค แต่วางแผนว่าจะทำหน้าที่นักร้องนำในทั้ง 2 วงไปพร้อมๆ กัน

เบนนิงตันย้ำความรับผิดชอบต่อทั้ง 2 วงด้วยการออกอัลบั้ม “ไฮไรส์” (High Rise) กับเอสทีพีในเดือนตุลาคม 2013 และออกอัลบั้มรีมิกซ์ “รีชาร์จ” กับลิงคินพาร์คในเดือนเดียวกัน ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้ “อะ ไลท์ แดท เนเวอร์ คัมส์” (A Light That Never Comes) ซึ่งเป็นการร่วมงานกับดีเจซุปเปอร์สตาร์ สตีฟ อาโอกิ กลายเป็นเพลงฮิตในคลับเต้นรำไปทั่วโลก

ลิงคินพาร์คออกผลงานชุดที่ 6 “เดอะ ฮันติ้ง ปาร์ตี้” (The Hunting Party) ในเดือนมิถุนายน 2014 ที่โปรดิวซ์โดยชิโนดะและแบรด เดลสัน มือกีตาร์ อัลบั้มชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีพังก์ เมทัล และฮาร์ดคอร์ที่ทางวงฟังสมัยเมื่อพวกเขาเป็นวัยรุ่น ผลที่ออกมาคือซาวด์ที่หนักแน่น ก้าวร้าวและดิบเถื่อน โดยมีศิลปินรับเชิญอย่างทอม โมเรลโล นักร้องนำของเรจ อะเกนสท์ เดอะแมชชีน, ดารอน มาลาเคียนของซิสเต็มออฟอะดาวน์ และตำนานเพลงฮิพฮอพอย่างราคิม เป็นต้น แม้ว่าอัลบั้มนี้จะขึ้นไม่ถึงอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในหลายประเทศทั่วโลก

และเมื่อลิงคินพาร์คกลับมาออกผลงานในเดือนพฤษภาคมปี 2017 นี้ พวกเขามาพร้อมกับซาวด์ดนตรีที่เปลี่ยนไปอย่างมาก “เฮฟวี่” (Heavy) ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม “วัน มอร์ ไลท์” (One More Light) ที่เป็นการดูเอ็ทกันระหว่างเบนนิงตันกับเคียรา (Kiiara) นักร้องนักแต่งเพลงสาวชาวอเมริกัน โปรดิวซ์โดยจูเลีย ไมเคิลส์ และจัสติน แทรนเตอร์ นักแต่งเพลงป๊อป เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูจากแฟนเพลงของวงจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม อัลบั้มชุดนี้กลายเป็นอัลบั้มที่ 5 ของทางวงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกา โดยทางวงมีแผนที่จะออกทัวร์ครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนผลงานชุดนี้ ซึ่งมีข่าวว่าจะมาแสดงคอนเสิร์ตในไทยด้วย

ทว่าเชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำกลับมาอำลาจากโลกนี้อย่างกะทันหันเสียก่อนด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมแขวนคอปลิดชีพตัวเองที่บ้านพักในนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเช้าวันที่ 20 กรกฎาคม ขณะมีอายุได้ 41 ปีเท่านั้น

ทิ้งตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สร้างร่วมกับวงลิงคินพาร์คไว้เบื้องหลัง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image