ชาวบ้านประกาศชัยชนะ ศาลจังหวัดสงขลายกฟ้อง คดีเทใจให้เทพา (คลิป)

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 ธันวาคม ศาลจังหวัดสงขลาพิพากษายกฟ้องในคดี เทใจให้เทพา กรณี ชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จัดกิจกรรมเดินเท้า จากอำเภอเทพา มายัง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ภายใต้กิจกรรม ‘เดินเทใจให้เทพา เดินหานายกฯหยุดทำลายชุมชน’ เพื่อยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดเดินทางประชุม ครม.สัญจร 27-28 พฤศจิกายน 2560 แต่ถูกสลายการชุมนุม และถูกควบคุมตัวดำเนินคดีรวม 17 คน ซึ่งมีทั้งชาวบ้านและเอ็นจีโอทั้งหมดถูกแจ้ง 4 ข้อกล่าวหาร้ายแรง คือ1. ร่วมกันเดินหรือเดินแห่อันเป็นการกีด ขวางการจราจร ปิดกั้นทางหลวงหรือกระทำด้วยประการใดๆ บนถนนหลวงในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคลอื่น 2.ปิดกั้นทางหลวงหรือกระทำการด้วยประการใดๆ บนถนนหลวงในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล 3. ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำการตามหน้าที่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ 4. พกพาอาวุธ (ไม้คันธงปลายแหลม) ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

ล่าสุด ศาลจังหวัดสงขลาพิพากษาให้ยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา จำเลยทั้งหมด ยกเว้น จำเลยที่ 1 คือนายเอกชัย อิสระทะ และจำเลยที่ 3 นายปาฏิหาริย์ บุญรัตน์ ที่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็นผู้จัดการการชุมนุม แต่ไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง จึงให้ปรับคนละ 5,000 บาท ท่ามกลางความยินดีของชาวบ้านที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาร่วมร้อยคน

Advertisement

โดยหลังรับฟังคำพิพากษาแล้วเสร็จ จำเลยและชาวบ้านในเครือข่ายได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมประกาศชัยชนะ ที่หน้าศาลจังหวัดสงขลา พร้อมอ่านแถลงการณ์ “การประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชน ในยุคอำนาจเผด็จการ” โดยนายรุ่งเรือง ระหมันยะ นายกสมาคมรักษ์ทะเลจะนะ อ่านแถลงการณ์ ระบุว่า ผลการพิจารณาคดีเทพาได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ในคราวที่ท่านเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดสงขลา จนนำไปสู่เหตุการณ์สลายการชุมนุม และจับกุมพวกเราทั้ง 17 คน เพื่อดำเนินคดี ด้วยการตั้งข้อกล่าวหาถึง 4 ข้อหานั้น ไม่ถือว่าเป็นความผิด ตามเหตุผลที่ศาลได้ตัดสินในวันนี้ อันเป็นกระบวนการยุติธรรมที่พวกเราทุกคนพร้อมยอมรับด้วยความเชื่อมั่นในเจตนาอันบริสุทธิ์ของพวกเราทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

จึงกล่าวได้ว่า “นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชน ท่ามกลางอำนาจเผด็จการ” ที่พยายามปิดปากและปิดกั้นการแสดงออกของพวกเราทุกทุกวิถีทาง ที่ได้ออกมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในชุมชนของพวกเราเอง และถือเป็นการพิสูจน์ให้สังคมโดยรวมได้ประจักษ์ชัดขึ้นด้วยว่า “ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง” เสมือนเป็นการยอมรับด้วยว่าพวกเรามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้นได้ แม้จะอยู่ภายใต้บริบททางสังคมและการเมืองที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยก็ตาม นอกจากนั้นแล้วกระแสของสังคมสาธารณะที่ได้ส่งแรงเชียร์และกำลังใจให้กับพวกเราตลอดเวลาที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจกับพวกเราทุกคนจากการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะในคราวที่พวกเราถูกกระทำจนเกินกว่าเหตุของฝ่ายปกครอง ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง ตั้งแต่การใช้วิธีการจับกุมที่รุนแรง การจองจำด้วยเครื่องพันธนาการ และการกักขังในเรือนจำจังหวัดสงขลา จนทำให้พวกเราต้องสูญสิ้นอิสรภาพในช่วงเวลาหนึ่ง และยังปิดปากด้วยการแจ้งข้อกล่าวหาที่เกนกว่าเหตุ จนทำให้พวกเราได้รับความทุกข์ร้อนถึงกับต้องสูญเสียวิถีการดำเนินชีวิต สูญเสียอาชีพ และรายได้ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด หากแต่จะแปรเป็นพลังที่เข้มแข็งมากขึ้นหลังจากนี้

Advertisement

โอกาสนี้เราขอประกาศเจตนาร่วมกันว่า เราจะทวงถามความเป็นธรรมที่สูญเสียไปก่อนหน้าให้กลับคืนมาในเร็ววัน ทั้งนี้เพื่อจะสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมไทย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อันรวมถึงรัฐบาลได้ตระหนักถึงสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่พวกท่านจะต้องให้การเคารพ มิใช่เพียงแต่จะใช้อำนาจจนล้นพ้นเกินขอบเขตและไร้เหตุผลดังเช่นที่ผ่านมา พร้อมกับขอประกาศด้วยว่าเราจะยืนหยัดใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ปกป้องชุมชนของเราให้รอดพ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างถึงที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image