ทิชา ลงพื้นที่มุกดาหารหนุนเด็กที่ถูกล่วงมิเมิดทางเพศเข้าโครงการคุ้มครองพยาน
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 พฤษภาคม นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัวได้เดินทางลงพื้นที่มาพบกับเด็กนักเรียน 2 คน ที่ถูกกลุ่มครูโรงเรียนดงมอนวิทยาคม 5 คนและศิษย์เก่า 2 คน ร่วมล่วงละเมิดทางเพศ ที่จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากเข้าเยี่ยมเด็กนักเรียนชั้น ม.4 ที่ผ่านบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหารว่า วันนี้ได้เดินทางมาพบเด็กนักเรียนทั้ง 2 คน ที่ถูกครูล่วงละเมิดทางเพศ ต้องขอบคุณในความกล้าหาญของเขา ที่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องพวกนี้เพราะว่าถ้าหากว่าเขาไม่ออกมาก็มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ครูกลุ่มนี้จะไปกระทำต่อเด็กคนอื่นต่อไปด้วยความฮึกเหิม วันนี้เราเหมือนกับมาสร้างเอ็มพาวเวอร์ในพื้นฐานเบื้องต้น ให้เด็กรู้สึกได้ว่าที่ใครหาว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ถูกหาว่าประจานประจานโรงเรียน ซึ่งตอนเด็กก็ตัดสินใจที่จะไม่ใช้โทรศัพท์ในการรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ซึ่งเราก็จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เขาว่า หนูไม่ได้ประจานโรงเรียนแต่คนที่ถูกประจานน่าจะเป็นครูที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กมากกว่า
นางทิชากล่าวว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กตอนนี้คือควรจะต้องเข้าไปอยู่ในการคุ้มครองพยานของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เปิดทางไว้แล้ว และอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพก็ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่เดินทางมาพบกับเด็กแล้วเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเด็กได้ย้ายตัวเองจากบ้านพักเด็ก หรือว่าย้ายตัวเองจากบ้านพักแล้วเข้าไปอยู่ในการคุ้มครองพยาน กระบวนการสอบสวนและสืบพยาน ก็จะราบรื่นไม่มีปัจจัยคุกคามสร้างความกังวลใจใดๆ ให้กับเด็ก อีกทั้งจะส่งผลให้การจดจำวันเวลาสถานที่เกิดเหตุต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อมีการขึ้นให้การเป็นพยานในศาลและทำให้มีข้อโต้แย้งน้อยลง แต่ถ้าเด็กยังอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัยหรือในที่ถูกรบกวนถูกแทรกแซงถูกข่มขู่ โอกาสที่จะที่จะให้การอย่างแม่นยำหรือพูดข้อเท็จจริงได้อย่างเต็มที่ก็จะน้อยลงไป ซึ่งจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของครอบครัวเด็กทั้ง 2 คน ว่าจะตัดสินใจเรื่องที่จะเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพหรือไม่
นางทิชากล่าวว่า นอกจากนี้ เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว จะจัดหาทนายความเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อคอยช่วยเหลือและสร้างความมั่นใจให้กับเด็กทั้ง 2 คน ว่าจะสามารถเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม
