ยื่นเอาผิดครูจุ๋ม ตบเด็กอนุบาล 1 เพิ่ม ฐานหน่วงเกี่ยวกักขัง 

‘ทนายรณณรงค์’ ยื่น เอาผิดครูโหดตบเด็กอนุบาล 1 เพิ่มอีก ฐานหน่วงเกี่ยวกักขัง

จากกรณี “ครูจุ๋ม” ครูโรงเรียนเอกชนดังใน จ.นนทบุรี ทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1 ที่ตัวเองสอนอยู่ ส่งผลให้เด็กเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าไปโรงเรียน ขณะที่ผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่า ทำไมบุตรหลานมีบาดแผลฟกช้ำ อีกทั้งยังละเมอ ผวากลางดึก จนทำให้กลุ่มผู้ปกครองรวมตัวกันไปตรวจสอบภาพจากกล้องจนพบความจริงว่า มีการกระทำทารุนกรรมเด็กรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ผลักให้เด็กล้มลงกับพื้น จับหัวดึงผม ใช้ไม้กวาดตีเด็ก โขกหัวเด็ก ซึ่งผู้ปกครองทนไม่ไหวรวมตัวกันเข้าร้องเรียนผู้บริหารโรงเรียน ก่อนแจ้งความเอาผิดดำเนินคดีตามกฎหมายที่ สภ.ชัยพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ สภ.ชัยพฤกษ์ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมกลุ่มผู้ปกครองเดินทางเข้ายื่นหนังสือให้กับ ร.ต.อ.อุทิศ อาสานอก รอง สว.(สอบสวน) สภ.ชัยพฤกษ์ เพื่อแจ้งไปยัง พ.ต.อ.สถิตพร บุณยรัตพันธุ์ ผกก.สภ.ชัยพฤกษ์ ให้สั่งการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อเอาผิดครูคนดังกล่าวในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดยทนายรณณรงค์ ระบุว่า เนื่องจากผู้ปกครองแจ้งเพิ่มเติมว่า มีเด็กนักเรียนบางคนถูกลงโทษด้วยวิธีการขังในห้องน้ำโรงเรียนเป็นเวลานาน ทำให้เด็กนั้นได้รับอันตรายด้านจิตใจ เป็นการจำกัดเสรีภาพไม่ให้ออกไปไหนให้ เด็กอยู่ในที่กำหนดโดยมีขอบเขตจำกัด โดยที่เด็กไม่สมัครใจ ทำให้เด็กมีอาการหวาดระแวงกลัวการไปโรงเรียน ตื่นขึ้นมาผวาตอนกลางคืน กระวนกระวายกลัวคน บางครั้งมีอาการหลอนพูดจาคนเดียวและหวาดกลัวการเข้าไปอยู่ในห้องแคบๆ คนเดียว แต่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีความเห็นทางกฎหมายในประเด็นนี้ จึงอยากให้สอบสวนเพิ่มตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทนายรณรงค์กล่าวด้วยว่า ขอความเป็นธรรมให้ พ.ต.อ.สถิตพร สั่งการให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามประมวลกฎหมายอาญาแก่ครู หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบทุกคนขณะเกิดเหตุในฐานะตัวการ่วมหรือผู้สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด ซึ่งคดีนี้คดีนี้อยู่ในความสนใจของสังคม และเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเด็ก ซึ่งเป็นการขัดกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) จึงต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดให้สังคมเห็น เพื่อไม่ให้มีการลอกเลียนแบบเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าต้องไม่มีการละเมิดสิทธิเด็กในประเทศไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image