10 ปีไม่จบ! นายกพัทยา เชิญผู้รับเหมาเสนอราคารื้อคอนโด Water Front 

10 ปีไม่จบ! นายกพัทยา เชิญผู้รับเหมาเสนอราคารื้อคอนโด Water Front

ด้านนายคริส เชิดสุริยะ หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคารสำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าวว่าสำหรับโครงการนี้มีการขออนุญาตปลูกสร้างตั้งแต่ปี 2551 จนกระทั่งปี 2556 หรือ 5 ปีต่อมาเมืองพัทยาตรวจพบว่ามีการก่อ สร้างอาคารผิดไปจากแบบที่ยื่นเสนอขอไว้ จึงได้ออกคำสั่งระงับการก่อสร้างและการใช้อาคาร และทางโครง การมายื่นขออนุญาตใหม่จนปี 2560 เมืองพัทยาก็มีคำสั่งไม่ต่อใบอนุญาตให้ และให้ทำการรื้อถอนในปีเดียว กัน หลังจากนั้นทางโครงการจึงทำหนังสือร้องฟ้องร้องนายกเมืองพัทยาไปยังศาลปกครอง โดยในปี 2561 ศาลก็ได้ยกคำร้องแต่ให้ขอทุเลาไว้ เมืองพัทยาจึงต้องดำเนินการทำเรื่องรื้อถอนต่อโดยมีหนังสือขอความร่วมมือไปยังฝ่ายวิศวกรรมก่อสร้าง และกรมโยธาธิการ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธโดยระบุว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญมากพอในการคำนวณการรื้อถอนอาคารทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันเมืองพัทยาจึงพยายามเร่งทำหนังสือไปยังบริษัท เอกชนผู้เชี่ยวชาญจำนวน 11 แห่ง เข้ามาร่วมหารือเพื่อหาแนวทางดำเนินการ

ล่าสุดนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาคนปัจจุบันได้ลงนามหนังสือประกาศคำสั่งเมืองพัทยาที่ ชล 52304/9377 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนร่วมเสนอราคาและวิธีการรื้อถอนอาคารอย่างเป็นทางการแล้ว โดยระบุว่าด้วยเมืองพัทยาจะดำเนินการรื้อถอนอาคารโครงการ WaterFront Condominium Pattaya Thailand ของ บ.บาลีฮาย จำกัด เป็นอาคาร ค.ส.ล.50 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้น ขนาด 17.50×91.35 เมตร ซึ่งก่อสร้างผิดแบบจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต จึงเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมเสนอวิธีการรื้ออาคารอาคาร ประมาณราคาค่าใช้จ่าย ระยะเวลาที่ต้องรื้อถอน พร้อมกับกำหนดมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จึงเรียนมาเพื่อทราบ

Advertisement

สุดท้ายหลังจากการก่อสร้างโครงการยักษ์ริมอ่าวพัทยามานานนับ 10 ปี โครงการได้ถูกระงับเพราะมีการก่อสร้างผิดแบบแปลนที่กำหนดและไม่มีการแก้ไขจนเมืองพัทยาไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาตให้จนกลาย เป็นคอนโดร้างอย่างภาพที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน จากปัญหาที่เกิดขึ้นมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมมานานหลายปี

ล่าสุดนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาคนปัจจุบัน ได้ประกาศหาภาคเอกชนผู้รับ เหมาเข้ามารื้อถอน ก่อนจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการจากเจ้าของโครงการตามมาตรการทางกฎ หมาย กรณีนี้ถือเป็น “มหากาพย์” ที่ยืดเยื้อมานานและจะจบลงอย่างสวยงามตามที่มีการใช้อำนาจทางกฎ หมายเข้ามาดำเนินการได้จริงหรือไม่ ขณะที่ปัญหาเรื่องของเอกสารสิทธิ์ที่ดินก็ยังเป็นเรื่องที่คาราคาซังอยู่จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากที่ดินของโครงการเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของ บ.อาชาแลนด์ ที่ถูกแบ่งแยกขายและตั้งอยู่ข้างเคียงกัน ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาออกมาแล้วว่าเป็นที่ดินที่มีการออกเอกสารสิทธิ์อย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังคงต้องติดตามกันต่อไป

ทั้งนี้“วอร์เตอร์ฟรอนด์ สวีท แอนด์ เรสซิเดนท์” โครงการคอนโดมิเนียมสุดหรูริมอ่าวพัทยา ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2551 บริเวณท่าเทียบเรือพัทยาใต้ แหลมบาลีฮาย จ.ชลบุรี ในขนาดความสูง 53 ชั้น บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ 1 งาน 83 ตารางวา ซึ่งมีห้องพักจำนวน 312 ห้อง โดยทำการก่อสร้างหลังได้รับใบอนุญาตจากเมืองพัทยา ซึ่งพบว่าโครงการนี้อยู่ในภูมิทัศน์ที่สวยงามเนื่องจากตั้งตระหง่านอยู่หน้าอ่าวมองเห็นทิวทัศน์ได้อย่างดีทำให้มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติแห่ไปเช่าซื้อห้องเป็นจำนวนมาก สนนราคาตั้งแต่ 4-10 ล้าน โดยทางโครงการมีสัญญาว่าจะทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบห้องพักให้กับผู้ซื้อได้ในช่วงเดือนธันวาคม 2558

Advertisement

ต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกัน นายกเมืองพัทยาในสมัยนั้นคือ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ระบุว่าการยื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างรอบที่ 3 ของโครงการไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ เนื่องจากตรวจพบว่ามีการก่อสร้างผิดแบบหลายจุด ตั้งแต่ฐานราก ตำแหน่งช่องลิฟต์ และบันไดหนีไฟ จึงได้สั่งให้ระงับการก่อสร้างไปตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมเป็นต้นมา พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการช่างเข้าไปตรวจสอบสภาพและตัวอาคารพบว่ามีการแจ้งหนังสือให้ทางโครงการทำการแก้ไขรายละเอียดแบบแปลนทั้งสิ้นรวมถึง 42 จุด เพื่อให้เกิดความถูกต้อง

ซึ่งต่อมาช่วงปลายปี 2559 ทางโครงการแจ้งว่าพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตามกฎหมาย พร้อมทั้งจะลดระดับความสูงของอาคารลงจำนวน 8 ชั้น เพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาชน แต่สุดท้ายเมืองพัทยาก็ยังไม่มีการอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมมอบหมายให้นิติกร เข้าแจ้งความดำเนินคดีบริษัท บาลีฮาย จำกัด เจ้าของโครงการใน 2 ข้อหาคือ ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น และบุกรุกพื้นที่สาธารณะ

ด้วยความที่เมืองพัทยาออกคำสั่งระงับโครงการดังกล่าวเป็นเวลานานและยังไม่มีทีท่าว่าจะดำเนินการต่อเมื่อใด ทางกลุ่มผู้ซื้อจึงเกิดการวมตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยแจ้งว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2560 ทางโครงการได้ยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขอฟื้นฟูกิจการด้วยภาระหนี้กว่า 2.39 พัน ล้านบาท จึงมีการแต่งตั้งทนายเพื่อร้องขอต่อศาลให้ผู้เสียหายหรือผู้ซื้อเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและโครงการสามารถดำเนินการต่อไปได้เป็นการรักษาสิทธิ์ตามกฎหมาย กระทั่งสุด ท้ายศาลไม่รับคำร้องดังกล่าว

โดยเฉพาะในปี 2561 นี้ ข่าวคราวโครงการวอร์เตอร์ฟรอนด์ยังไม่จบ หลังทีมทนายผู้ซื้อเปิดแถลงผลหลังศาลฎีกาพิพากษาว่าการออกโฉนดที่ดิน “อาชาแลนด์” ซึ่งอยู่ติดกับโครงการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมแจงที่มาว่าแปลงที่ดินของคอนโดมาจากเอกสารสิทธิ์เดียวกันที่ถูกแบ่งแยกขายออก จึงให้รัฐควรเร่งเข้ามาตรวจพิสูจน์ ขณะที่คดีความคืบหน้าการฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายชะงักหลังผู้รับผิดชอบโครงการถอนคดี จนผู้ซื้อเตรียมรวบรวมเอกสารส่งฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน

เรื่องนี้ทางทนายความกลุ่มผู้เสียหายแจ้งว่าเรื่องที่ดินนี้แม้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับทางอาคารวอร์เตอร์ฟรอนด์โดยตรง แต่สุดท้ายก็จะมีผลถึงกันไม่ช้าก็เร็วและเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้เช่าซื้อซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องของความเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจากที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการวอร์เตอร์ฟรอนด์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเอกสารสิทธิ์ที่มาจาก สค.1 เลขที่ 93 เหมือนกัน ซึ่งมีการแจ้งเรื่องของการขอออกเอกสารสิทธิ์ไว้ตั้งแต่ปี 2498 ในเนื้อที่จำนวน 2.2.16 ไร่ ก่อนจะมีแยกออกเป็น น.ส.3 จำนวน 5 แปลง และแบ่งขายให้ บ.อาชาแลนด์ 2 แปลง ซึ่งต่อมามีการออกเป็นโฉนด 5 แปลง และขายให้กับ บ.บาลีฮาย หรือโครงการวอร์เตอร์ฟรอนด์อีกจำนวน 2 แปลง ดังนั้นเมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าการออกโฉนดของ บ.อาชาแลนด์ เป็นการออกโฉนดโดยมิชอบ สุดท้ายหากยังไม่มีการตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิ์ทั้งหมด และยังปล่อยให้เรื่องคาราคาซังจนหากมีการฟ้องร้องและตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิ์ และสมมุติว่าที่ดินที่ตั้งของโครงการวอร์เตอร์ฟรอนด์มีพื้นที่บางส่วนที่ได้มาโดยมิชอบเรื่องนี้ย่อมส่งผลถึงความเสียหายของกลุ่มผู้ซื้อที่ดำเนินการมาอย่างถูกต้อง รวมทั้ง บ.บาลีฮาย เจ้าของโครงการด้วย เพราะทั้ง 2 ส่วนซื้อมาตามขั้นตอนและหลักการตามกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้นจึงรัฐจึงควรให้ความสนใจเข้ามาตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

ขณะที่ทาง บ.บาลีฮาย ได้ยื่นขอฟื้นฟูกิจการหรือศาลล้มละลายกลางแต่ทางผู้เช่าซื้อคัดค้านไว้ กระทั่งมีการถอนเรื่องออกมาและก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร กระทั่งเมืองพัทยาออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารส่วนเกินดังกล่าวแต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ปัจจุบันผู้เช่าซื้อจึงกำลังรวมตัวและรวบรวมเอกสารสำคัญในการเรียกร้องความเสียหายจากทางโครงการคือ บ.บาลีฮาย ซึ่งคงจะมีการฟ้องร้องผ่านทางศาลจังหวัดพัทยา

ซึ่งต่อมานายอภิชาต วีปรปาล รองนายกเมืองพัทยาในยุคของการแต่งตั้งจาก คสช.ในปี 2560 ได้ลงนามคำสั่งเมืองพัทยาแบบ ค.15 เลขที่ 367/2560 ประกาศให้รื้อถอนอาคารตามมาตรา 4 และ 43 วรรคสาม (กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ยื่นคำขอ รับใบอนุญาต แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคาร หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบอนุญาต) โดยแจ้งความมายัง บ.บาลีฮาย จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 301 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยระบุว่าตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนอาคาร การรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง (กรณีที่กระทำผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต) หรือคำสั่งห้ามใช้อาคารหรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารที่อาจเป็นภยันตรายตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งและมาตร 41 วรรคหนึ่ง ฯ ซึ่งปรากฏว่าทางโครงการมิได้ดำเนินการให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด

จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 และ มาตรา 43 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 25111 จึงให้ทำการรื้ออาคาร ค.ส.ล.50 ชั้น 3 ชั้นใต้ดิน ขนาด 19.70×91.35 เมตรจำนวน 1 หลัง ในส่วนที่ไม่ตรงกับแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้แล้วเสร็จใน 365 วันหลังได้รับคำสั่ง โดยหากพ้นระยะเวลาที่กำหนดก็จะดำเนินการทางกฏหมาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image