ผู้ว่าฯกาญจน์ ออกประกาศคุมเข้มเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามจังหวัด

วันที่ 9 เม.ย.64 นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดกาญจนบุรี ได้ออกประกาศคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 1773 / 2564 เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางปฏิบัติการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามจังหวัดกาญจนบุรี

โดยระบุว่า อนุสนธิคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 643/2564 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 เรื่อง กำหนดมาตรการการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามจังหวัดกาญจนบุรี โดยกำหนดมาตรการการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อการทำงาน 2 กลุ่มกิจการ ได้แก่ แรงงานในกิจการขนส่งสินค้า และแรงงานในกิจการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งต้องเป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย นั้น

เพื่อให้เกิดความชัดเจนและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเป็นการป้องกัน ควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวและในเขตพื้นที่จังหวัดที่ได้เข้าไปทำงาน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 (1) และ 34 (7) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และข้อ 7 (1) ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2563 และข้อ 9 (ฉบับที่ 18) ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2564 และมติที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 ตามข้อ 3.2.2 (3) จึงขอยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 643/2564 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 และให้ถือปฏิบัติเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามจังหวัดกาญจนบุรี ตามมาตรการและแนวทาง ดังนี้

1. ให้ผู้ประกอบการ/นายจ้าง/บริษัท/ยื่นขออนุญาตต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดกาญจนบุรี โดยทำเป็นหนังสือตามแบบคำขอเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อการทำงาน ทั้งกรณีนำคนต่างด้าวไปทำงานนอกพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และกรณีนำคนต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี

Advertisement

2. มีหลักฐานแสดงความจำเป็นที่ต้องเดินทางเพื่อการทำงาน

3. แรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดกาญจนบุรีต้องได้รับอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมายและต้องมีการประกันสุขภาพ หรือเป็นผู้ประกันตนตามระบบประกันสังคม และต้องมีการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR หรือการตรวจตัวอย่างแบบรวมตัวอย่างน้ำลาย (Pooled saliva) กลุ่มละ 5 คน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ/นายจ้าง/บริษัท จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากค่าใช้จ่ายในการตรวจหา เชื้อไวรัสโควิด-19 และจะอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานมาทำงานข้ามจังหวัดได้ หากตรวจไม่พบเชื้อเท่านั้น

4. ให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีอยู่อาศัยได้เฉพาะที่ทำงานและที่พัก ซึ่งผู้ประกอบการ/นายจ้าง/บริษัท ได้จัดไว้ให้เท่านั้น

Advertisement

5. ต้องจัดเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุมการเดินทางประจำยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางทุกคัน และจัดทำรายละเอียดเอกสาร แสดงจำนวน และรายชื่อแรงงานต่างด้าวที่เดินทางทั้งขาไปและขากลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจำนวนและรายชื่อแรงงานต่างด้าวในการเข้า – ออกในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และให้ทำความสะอาดรถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการเดินทาง

6. ก่อนแรงงานต่างด้าวเดินทางออก และกลับเข้าพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีทุกครั้ง ผู้ประกอบการ/นายจ้าง/บริษัท ต้องนำแรงงานต่างด้าว รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน บุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และเจ้าของสถานประกอบการ/โรงงานจะต้องสังเกตดูอาการของแรงงานต่างด้าว โดยสำรวจ ตรวจสอบ (Check List) ตามมาตรการควบคุมโรค วัดอุณหภูมิร่างกาย หากพบว่ามีอุณหภูมิ และมีอาการที่ผิดปกติ เช่น เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้ไปพบแพทย์หรือเข้าตรวจที่โรงพยาบาล

7. ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ของจังหวัดต้นทางและจังหวัดปลายทางโดยเคร่งครัด

8. ให้สถานประกอบการทำความเข้าใจ และสร้างการรับรู้ ขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ตามที่ทางราชการกำหนด

9. ให้ผู้ปฏิบัติงาน และแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการติดตั้งและใช้แอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” หรือ “ไทยชนะ” หรือบันทึกข้อมูลการเดินทางทุกครั้ง

เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชน หรือผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิโต้แย้ง ตามมาตรา 30 วรรค 2 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควรจะมีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อนึ่ง ประกาศหรือคำสั่งใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้ใช้คำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง สั่ง ณ วันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2564

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image