เป็นเรื่อง! เปิดภาพกล้องวงจรปิด เผย พัสดุส่งผิดร้าน ถูกเขี่ยทิ้งข้างถนน

เป็นเรื่อง! เปิดภาพกล้องวงจรปิด เผย พัสดุส่งผิดร้าน ถูกเขี่ยทิ้งข้างถนน

เมื่อวันที่ 5 กันยายน ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Ms.Malinda Ampuchineewan นำคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดมินิมาร์ท แห่งหนึ่งที่ติดตั้งอยู่หน้าร้านมินิมาร์ท แห่งหนึ่ง (อมรมินิมาร์ท) บริเวณ ริมถนนเลียบคลองชลประทาน ต.สวนดอกไม้ อ.เสาไห้ จ.สระบุรี โดยผู้โพสต์ ระบุข้อความ ลักษณะ ประณามการกระทำเจ้าของ ร้านมินิมาร์ท ที่อยู่ติดกัน

ข้อความที่โพสต์ ระบุว่า “ลองดูพฤติกรรมของร้าน 0Kมินิมาร์ท หน้าโรงทอหน่อย ขนส่งไปส่งถามว่าใช่ร้านอมรไหม คุณให้ขนส่งวางไว้บนถังทั้งๆที่ไม่ใช่ของคุณจากนั้นคุณมาทำกับของเราแบบนี้ ทำกริยาหยาบๆๆทั้งที่ของไม่ใช่ของคุณเราจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ..รอเลย คนเxE แบบนี้ เจอกัน เป็นผู้หญิงที่นิสัยแย่ที่สุด…น่าจะไม่มีใครเอาไปจนตาย จากการกระทำแย่ๆแบบนี้” จากข้อความดังกล่าว ทำให้ สมาชิกในเฟซบุ๊กดังกล่าว รวมถึง โลกโซเชียล ต่างวิพากษ์วิจารณ์ ถึงพฤติกรรม ที่พนักงานส่งพัสดุ ส่งผิดร้านแต่กลับ เจ้าของร้าน นินิมาร์ท ไม่สนใจ ที่จะบอก พนักงานส่งพัสดุ ว่าไม่ใช่ แต่กลับพยักหน้า ทำให้พนักงานส่งพัสดุเข้าใจผิด แถมขณะช่วง ปิดร้าน ยังใช้ เท้าเขี่ย กล่องพัสดุ ไปจากหน้าร้าน จนเลื่อนไปอยู่กลางถนน

ผู้สื่อข่าว จึงลงพื้นที่ไป นิมิมาร์ท ดังกล่าว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง จากคลิปกล้องวงจรปิด ที่เกิดขึ้น และได้พบกับ น.ส. มาลินดา อัมพุชินีวรรณ อายุ 40 ปี น้องสะใภ้ เจ้าของมินิมาร์ท ดังกล่าว  ซึ่งเธอได้พาไปชี้จุดที่ หน้าร้านมินิมาร์ท คู่กรณี ที่อยู่ติดกัน พร้อมทั้งนำมาชี้ กล่องพัสดุดังกล่าว ที่เธออ้างว่า ได้รับความเสียหาย มีร่องรอยเท้าคู่กรณี ซึ่งภายในบรรจุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วย มูลค่า ประมาณ 1,010 บาท

Advertisement

พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น วันพฤหัสที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งทางพนักงาน ส่งพัสดุ โทรศัพท์แจ้งเธอว่า จะนำพัสดุ เป็นกล่องภายในบรรจุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย ที่เธอสั่งไว้ ในนาม ของลูกชาย เพื่อจะมาส่งให้ที่มินิมาร์ท ของพี่สะใภ้ ที่เธอแจ้ง เป็นข้อมูลไว้ กับพนักงานส่งพัสดุ ซึ่งขณะนั้นเธอทำงานอยู่ต่างจังหวัด จึงโทรศัพท์สั่งพี่สะใภ้ ว่าจะมีพนักงาน มาส่งพัสดุให้รับไว้ด้วย

จากนั้นก็มีข้อความ จากพนักงานส่งพัสดุว่าของที่สั่ง ส่งถึงที่หมายแล้ว แต่เมื่อเธอกลับมา ที่มินิมาร์ท ของพี่สะใภ้ ในช่วงเย็น กลับพบว่ากล่องพัสดุดังกล่าว มาไม่ถึงตนเอง เธอจึงพยายามออกตามหา โดยให้แฟนเธอ ตรวจสอบที่กล่องวงจรปิด พบว่า กล่องพัสดุ ชิ้นนั้น ถูกเจ้าของร้านมินิมาร์ท ที่อยู่ติดกัน ใช้เท้าเขี่ย กล่องดังกล่าว จากหน้าร้านไป อยู่กลางถนน เธอจึงได้โทรศัพท์ ติดต่อกลับไปที่ พนักงานส่งพัสดุ เพื่อให้กลับมา ที่ มินิมาร์ท ที่ส่งผิดเพื่อนำกล่องพัสดุดังกล่าว ให้ตนเอง พร้อมทั้งได้สอบถามพนักงาน ถึงสาเหตุ ที่ส่งพัสดุผิดร้าน พร้อมทั้งนำคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิด ไปโพสต์แฉพฤติกรรม มินิมาร์ท ที่อยู่ติดกัน ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย ที่ร้านอยู่ติดกัน เกิดข้อพิพาทรุนแรง อีกทั้งฝ่ายคู่กรณี เจ้าของร้าน ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. เสาไห้ เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ในข้อหา หมิ่นประมาท และนำข้อมูลอันเป็นเท็จ เผยแพร่ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยเธอยืนยันจะแจ้งความกลับ อย่างแน่นอน ซึ่งเธอเจ็บใจ ที่เธอได้ โทรศัพท์ ไปสอบถามเจ้าของมินิมาร์ท คู่กรณี ที่อยู่ติดกันแล้ว เพื่อถามถึงพัสดุดังกล่าว แต่อีกฝ่ายกลับพูดท้าทาย อีกทั้งกล่องพัสดุ ดังกล่าวก็ระบุชื่อ ลูกชาย และ ชื่อ ร้านมินิมาร์ท อย่างชัดเจน โดยเธอได้ โทรศัพท์ไปพูดคุยกับพนักงานส่งพัสดุ เพื่อให้ผู้สื่อข่าวรับฟัง เหตุการณ์ดังกล่าว โดยพนักงาน ส่งพัสดุ ยอมรับว่า นำกล่องดังกล่าวมาส่ง โดยสังเกตป้าย ชื่อ มินิมาร์ท ซึ่งอาจสับสน เนื่องจากป้ายชื่อมินิมาร์ท ที่ติดตั้งไว้หน้าร้าน อยู่ใกล้เคียงกัน โดยพนักงานนำกล่องพัสดุ ดังกล่าวไปวาง ไว้บนถังน้ำแข็งจริง อีกทั้งได้สอบถามมินิมาร์ท ตามที่ระบุ หน้ากล่องพัสดุแล้ว โดยผู้รับรู้เป็นหญิงสูงวัย คือเจ้าของร้าน และพยักหน้ารับรู้ ซึ่งพนักงานส่งพัสดุ จึงเข้าใจว่าลักษณะพยักหน้า คือ ตอบรับ ว่าพนักงาน มาส่งพัสดุ ไว้แล้ว และใช่ร้านมินิมาร์ท ตามที่ระบุไว้ บนกล่อง แต่เมื่อเจ้าของมินิมาร์ท คู่กรณี รู้ว่าพนักงานส่งพัสดุผิดที่ กลับนิ่งเฉย ทั้งๆที่ มินิมาร์ท ก็อยู่ติดกัน อีกทั้งแสดงพฤติกรรม ตามคลิปกล้องวงจรปิด ทำให้เธอ ตัดสินใจ นำคลิปไปโพสต์ พร้อมทั้งระบุ ข้อความ ดังกล่าว จนเกิดความขัดแย้งรุนแรง ของทั้ง 2 มินิมาร์ท ถึงขนาดอีกฝ่าย เข้าแจ้งความ ตำรวจ ให้ดำเนินคดีกับตนเอง ซึ่งก็อยู่ติดกัน และขายสินค้าคล้ายกัน ตนเอง จึงเข้าพบ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เสาไห้ เพื่อลงบันทึกเหตุการณ์ ไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากพัสดุตนเอง อาจได้รับความเสียหาย หรือสูญหาย หากตนเอง ไม่พบกล่องดังกล่าว ในคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ตนเองยังไม่ประสงค์ ที่จะ แจ้งความ ดำเนินคดีใดๆ จึงแค่ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น อีกทั้งเพื่อแสดงความ บริสุทธิ์ใจที่ถูกแจ้งความ หมิ่นประมาท และ เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่คู่กรณีได้แจ้งความไว้ เมื่อ วันที่ 4 กันยายน ตนเองจึงเข้าพบตำรวจ เพื่อชี้แจง เหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นหลักฐาน ในการต่อสู้คดี ทั้ง 2 ข้อ กล่าวหา ต่อไป

Advertisement

ผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถาม ข้อเท็จจริง กับ ร้านมินิมาร์ท อีกฝ่าย ที่อยู่ติดกัน พบกับ น.ส. ฐิตารีย์ อายุ 31 ปี และนางบังอร ประวิงรัตน์ อายุ 52 ปี ทั้ง 2 แม่-ลูก ที่อยู่ในคลิป กล้องวงจรปิด โดยเธอ ได้นำคลิป จากกล้องวงจรปิด ที่หน้ามินิมาร์ท มาตอบโต้ เพื่อให้ผู้สื่อข่าวทราบ ว่า เหตุการณ์นี้ พนักงานส่งพัสดุ ได้นำกล่อง ดังกล่าวมา พร้อมทั้ง บอกกับ ตนเอง แค่ว่า มาส่งพัสดุ ซึ่งตนเอง ก็พยักหน้าจริง แต่เข้าใจว่า พนักงานส่งพัสดุ นำกล่องมาฝากส่ง เนื่องจาก ร้านตนเองก็รับส่งพัสดุ ประเภทสินค้าเหมือนกัน แต่ก็นึกสงสัย พนักงานส่งพัสดุ นำกล่องมาวางไว้ แล้วก็เดินออกไปจากร้านโดย ตนเองยืนยันว่า พนักงานส่งพัสดุ ไม่ได้ถามตนเองว่า ร้าน นิมิมาร์ท ของตนเองว่าใช่ มินิมาร์ท ตามที่ระบุไว้ บนกล่อง หรือไม่ อีกทั้ง บอกเพียงว่ามาส่งพัสดุ ประกอบกับช่วง นั้นมีลูกค้าเข้าร้านมากทำให้ตนเองไม่ว่าง จะไปสอบถาม พนักงานส่งพัสดุ จนกระทั่งลูกค้าน้อยลง ตนเองจึงเดินไป อ่านชื่อ และเลขที่บ้าน พบว่าไม่ใช่นินิมาร์ท ตนเอง

ซึ่ง น.ส. ฐิตารีย์ บุตรสาว เผยอีกว่า เมื่อรู้ว่ากล่องพัสดุดังกล่าว ไม่ใช่ที่ มินิมาร์ท ตนเอง จากการอ่านข้อความบนกล่อง ซึ่งตนเองยอมรับว่า ชื่อที่อยู่ นั้น ตนเองไม่รู้จัก เนื่องจาก นิมาร์ท ตนเอง ได้เปลี่ยน เลขที่บ้าน ไปเมื่อ 5 ปี ที่แล้วเลย ไม่รู้ว่ากล่อง พัสดุนี้อยู่ที่ไหน หรือจะเป็นมินิมาร์ท ที่อยู่ติดกัน ตนเองไม่รู้ จริงๆ อีกทั้งชื่อ ที่ระบุผู้รับตนเองก็ไม่รู้จัก อีกทั้ง น.ส. ฐิตารีย์ ได้ตอบข้อสงสัย ของ นักข่าว ถึงกล่องดังกล่าว ทำไมเมื่อถูกวางไว้ ที่ ถังน้ำแข็ง แต่ในคลิป กล้องวงดีโอกลับพบว่า ถูกวางไว้ ที่พื้น

โดย น.ส. ฐิติรีย์ เผยว่า เมื่อมีลูกค้ามาซื้อน้ำแข็ง จึงต้อง ยกกล่องดังกล่าว ลงมาวางที่พื้น จนเมื่อใกล้ปิดร้านไม่มีใครมา แสดงตัวเป็นเจ้าของ กล่องพัสดุ ดังกล่าว ตนเอง จึงต้อง นำกล่องนั้นออกไป ให้พ้นหน้ามินิมาร์ท ผู้สื่อข่าว จึงสอบถามว่า ทำไม ถึงต้อง ใช้วิธี เคลื่อนย้าย กล่องดังกล่าว ลักษณะนั้น ที่ปรากฏ ภาพตาม คลิป

น.ส. ฐิตารีย์ เผยว่า เนื่องจาก สถานการณ์ โควิด19 ตนเองต้อง ป้องกัน การแพร่ระบาดด้วยการ ไม่สัมผัส กล่องพัสดุ ที่ไม่ได้ ส่งมาที่ มินิมาร์ท ตนเองอีกทั้ง ไม่รู้ว่ากล่องพัสดุ ดังกล่าว บรรจุอะไร ไม่รู้ซึ่งอาจ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย หรือทำให้ เกิดอันตราย ก็เป็นได้ ซึ่ง น.ส.ฐิตารีย์ ยอมรับว่า ที่ต้องแจ้งความเนื่องจาก ข้อความที่ระบุ นั้นเกินไปจากความเป็นจริง มากเกินไป และขอ ยืนยันว่า จะดำเนินคดี ให้ถึงที่สุด กับผู้นำคลิป และข้อความ ดังกล่าว ไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ส่วนตัว อีกทั้งโพสต์ใน กลุ่ม สื่อโซเชียล “เสาไห้ บ้านเรา” ทำให้ ตนเองและครอบครัวเสียหาย ถูกประณาม ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งทาง นาง บังอร และ น.ส. ฐิตารีย์ ตั้งข้อสงสัยกรณี ที่พนักงานส่งพัสดุ ต้องโทรศัพท์ประสาน ตำแหน่งส่งพัสดุ ให้ชัดเจน อีกทั้งต้อง อ่านป้าย มินิมาร์ท ให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ส่งพัสดุผิดพลาดแบบนี้ อีกทั้งมุมกล้องวงจรปิด เหมือนจะ พยายาม จับภาพ ตนเองกับแม่ ซึ่งเชื่อว่า อาจเป็นการจงใจ สร้างสถานการณ์ เรื่องกล่องพัสดุ ทำให้ตนเองและแม่ เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือไม่ รวมถึง มินิมาร์ท อีกฝ่ายเคยมีปัญหา ขัดแย้งกันเรื่องที่ จอดรถส่งสินค้า กันมาแล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า กรณีที่ จอดรถบังหน้าร้าน อาจเป็นฉนวน ที่ทำให้เกิด ความขัดแย้ง จนกระทั้งมาเกิด ข้อพิพาท รุนแรง เรื่องกล่องพัสดุ ดังกล่าว อีกครั้งก็เป็นได้ ซึ่ง น.ส. ฐิตารีย์ ต้องขอขอบคุณที่ สื่อมวลชน มาทำข่าว ความขัดแย้ง อย่างตรงไปตรงมา และรับข้อมูล ที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อนำเสนอปัญหา และสาเหตุ ลดความขัดแย้ง ทั้ง 2 ฝ่าย โดยสอบถาม ข้อมูล ข้อเท็จจริง ทั้ง 2 ด้าน โดยไม่ได้ นำข้อมูล ที่เป็นเท็จไปเผยแพร่ ทำให้ตนเอง และครอบครัว ถูกเข้าใจผิด อีกทั้งอาจ ไม่ได้ รับความยุติธรรม ซ้ำเติมเหมือน สื่อโซเชียล ที่วิพากษ์วิจารณ์ จน ทำให้เกิดความเสียหาย กับครอบครัวตนเอง ขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ขอให้ทั้ง ฝ่าย ประนีประนอมกัน มินิมาร์ท ก็อยู่ติดกัน ขัดแย้งกันไปมีแต่สูญเสีย ทั้งสุภาพจิต และทรัพย์สินที่ต้อง ไปต่อสู่กันในศาล อย่างน้อยก็หัน หน้ามาปรับความเข้าใจกันจะเป็น หนทาง ที่ดีที่สุดในยุค ที่ต้อง ค้าขาย ครองชีพ ยากลำบาก ในช่วงการระบาดเชื้อไวรัสโควิด19

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image