“นิพนธ์”แจงยิบคดีจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทาง”อบจ.สงขลา”..ศาลหมายจับคู่เทียบราคา-ส่อฮั้วแล้ว

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 อนุมัติหมายจับกลุ่มบริษัทและผู้บริหารรวม 8 ราย ซึ่งเป็นบริษัทคู่เทียบที่เข้าร่วมการประมูลการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา เมื่อปี 2555 ในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม และฮั้วประมูลเป็นเหตุให้ อบจ.สงขลา ได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกันศาลปกครองสงขลา อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ อบจ.สงขลา ชำระหนี้ค่ารถซ่อมบำรุงทางเอนกประสงค์ 2 คัน ให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทคพลัส จำกัด เป็นเงินกว่า 80 ล้านบาท

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตนายก อบจ.สงขลา ทำเอกสารชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงการประมูลจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทาง ของ อบจ.สงขลา มีทั้งหมด 3 ครั้ง
-ครั้งที่ 1 ประมุลจัดซื้อ 1 คัน เมื่อเดือน กรกฎาคม 2555 (สมัยนายอุทิศ ชูช่วย อดีตนายก อบจ.สงขลา)
-ครั้งที่ 2 ประมูลจัดซื้อ 1 คัน เมื่อเดือน กันยายน 2555 (สมัยนายอุทิศ ชูช่วย อดีตนายก อบจ.สงขลา)
-ครั้งที่ 3 ประมูลจัดซื้อ 2 คัน เมื่อเดือน พฤษภาคม 2556 (สมัยนายอุทิศ ชูช่วย อดีตนายก อบจ.สงขลา)

นายนิพนธ์ชี้แจงว่า ต่อมา ตนเข้ารับตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา เมื่อเดือนตุลาคม 2556 เป็นช่วงเดียวกับที่มีการส่งมอบรถซ่อมบำรุงทาง ของการจัดซื้อครั้งที่ 3 จำนวน 2 คัน ที่จัดซื้อตั้งแต่สมัยนายอุทิศ ชูช่วย เป็นนายกอบจ.สงขลา และมีการร้องเรียนไปยังผู้ว่่าฯสงขลา และ นาย กอบจ.สงขลาว่าการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางในครั้ง 3 นั้น มีการปลอมเอกสาร และ มีการฮั้วประมูล ทางผู้ว่าฯสงขลา จึงแจ้งมายัง อบจ.สงขลาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ดังนั้น ตนที่รับตำแหน่งนายกอบจ.สงขลาจึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และชะลอการจ่ายเงินให้แก่ผู้ชนะการประมูล

Advertisement

นายนิพนธ์ชี้แจงว่า ในระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่นั้น บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด (ผู้ชนะการประมูล) ได้ร้องต่อศาลปกครองสงขลา ให้ อบจ.สงขลาชำระเงินค่ารถซ่อมบำรุงทาง ต่อมาศาลปกครองสงขลา ตัดสินให้ อบจ.สงขลา ชำระเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางให้แก่บริษัท พลวิศว์ฯอย่างไรก็ตาม อบจ.สงขลายื่นอุทธรณ์ต่อ
ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ให้ อบจ.สงขลา ชำระค่ารถซ่อมบำรุงทางให้แก่ผู้ชนะการประมูลพร้อมดอกเบี้ย

นายนิพนธ์ชี้แจงว่า อย่างไรก็ตาม ผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า มีการฮั้วประมูลจริง ในการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางครั้งที่ 3 จึงให้ อบจ.สงขลา แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่ สภ.เมืองสงขลาแล้ว และ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 สภ.เมืองสงขลา สรุปสำนวนการสอบสวนเสร็จสิ้น มีความเห็นควรสั่งฟ้องบริษัท พลวิศว์ฯ โดยนายอิทธิพล ดวงเดือน (ผู้ชนะการประมูล) และน.ส.ศศิธร ตั้งตรงคิด กรรมการบริษัท เอส พี เค ออโต้ เทค จำกัด (บริษัทคู่เทียบประมูล ในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือโดยกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานรัฐหรือโดยเอาเปรียบหน่วยงานรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264 และ268 และตาม พ.ร.บ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4, 14 (2) และมาตรา 14 วรรคสาม อยู่ระหว่างส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการดำเนินคดีต่อไป

Advertisement

“อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาร้องขอโอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.เมืองสงขลา ไปยังกองบังคับการปราบปราม เพื่อสอบสวนแทน และเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม สรุปสำนวนการสอบสวนว่าผู้ต้องหากับพวกในคดีนี้ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. จนถึงบัดนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”

นายนิพนธ์ชี้แจงว่า นอกจากการประมูลจัดซื้อรถครั้งที่ 3 ยังพบพยานหลักฐานว่าการประมูลจัดซื้อครั้งที่ 1 และ 2 สมัยนายอุทิศ ชูช่วยนั้น ก็มีการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกับการจัดซื้อครั้งที่ 3 (คือมีการฮั้วฯ) เพราะเป็นกลุ่มเอกชนกลุ่มเดียวกัน จึงแจ้งความดำเนินคดี กับผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นกันที่ สภ.เมืองสงขลา

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 สภ.เมืองสงขลา ได้สรุปสำนวนการสอบสวนพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อว่าในการประมูลครั้งที่ 1 และ 2 นั้นผู้ต้องหา อันได้แก่ บริษัทพลวิศว์ เทค จำกัด (ผู้ชนะการประมูล ครั้งที่ 1) โดยนายอิทธิพล ดวงเดือน, หจก.เพลิโอนี (ผู้ชนะการประมูลครั้งที่ 2) โดยนายอิทธิพล ดวงเดือน และบริษัทคู่เทียบทุกรายในการประมูล ได้ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือโดยกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานรัฐหรือโดยเอาเปรียบหน่วยงานรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ เป็นเหตุให้ อบจ.สงขลาได้รับความเสียหาย และส่งเรื่องต่อไปยัง คณะกรรมการ ป.ป.ช เพื่อดำเนินการต่อไป

“ต่อมาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ส่งสำนวนการสอบสวนการจัดซื้อครั้งที่ 1 และ 2 กลับมายังสภ.เมืองสงขลา เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มเอกชนต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป ขณะนี้พนักงานสอบสวนก็ได้อยู่ระหว่างส่งตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ”นายนิพนธ์ชี้แจง

นายนิพนธ์ระบุว่า ส่วนกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดตน กรณีไม่อนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัดนั้น ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับตน แต่อัยการสูงสุดได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ของสำนวนคดีที่ป.ป.ช.ทำมาใน 16 ประเด็น และตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างผู้แทนฝ่ายอัยการสูงสุด และผู้แทนฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ผู้แทนฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถชี้แจงข้อไม่สมบูรณ์ของสำนวนคดีได้ตามที่อัยการสูงสุดระบุความไม่สมบูรณ์ของสำนวนที่ป.ป.ช.ทำมาได้ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งไม่ฟ้องตน และได้คืนสำนวนกดีกลับให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565

“ดังนั้น คดีทางแพ่ง ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้อบจ.สงขลา ชำระเงินให้บริษัทพลวิศว์ เทค พลัส จำกัด(ผู้ชนะการประมูล ส่วนคดีอาญา พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนสั่งฟ้องบริษัทที่ชนะการประมูลและบริษัทคู่เทียบทุกรายในความผิดฐานปลอมเอกสารและฮั้วประมูล นอกจากนี้คดีอาญาที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องผม และได้คืนสำนวนคดีกลับไปยังป.ป.ช.”นายนิพนธ์ระบุ

นายนิพนธ์ชี้แจงว่า การพิจารณาครั้งนี้เป็นเรื่องเดิมที่มีมาก่อนที่ผู้ว่าฯสงขลาสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ก็สรุปความเห็นว่าบริษัทพลวิศว์ฯ ทำผิดพ.ร.บ.ฮั้วจริง ซึ่งเป็นการพิจารณาในทางแพ่งไม่เกี่ยวข้องกับการพิจาณาคดีอาญา และโดยหลักการพิจารณาทางแพ่งจะนำมาใช้กับการพิจารณาทางอาญาไม่ได้ แต่ทางอาญาสามารถนำไปปรับเข้ากับการพิจารณาทางแพ่งได้ ซึ่งกรณีนี้มีความย้อนแย้งกันกัน ขณะเดียวกัน กองปราบปรามก็สรุปสำนวนแล้วว่าบริษัทพลวิศว์ฯได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วฯ และส่งสำนวนไปให้ป.ป.ช.ได้พิจารณาเพิ่มเติม ประกอบกับในสำนวนที่ป.ป.ช.ทำไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นฟ้องนั้น ขณะนี้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และส่งสำนวนกลับไปยังป.ป.ช.แล้ว

นายนิพนธ์ระบุว่า นอกจากนี้ตนยังทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงป.ป.ช.และอัยการแล้ว หลังปรากฎหลักฐาน 1 ชิ้นว่าปลัดอบจ.ไม่มีอำนาจเซ็นรับรถซ่อมบำรุง ตามที่นายกฯอบจ.มอบหมายให้ปลัด อบจ.เซ็นรับงานได้เพียงมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่รถซ่อมบำรุงมีมูลค่าถึง 50 กว่าล้านบาท ถือว่าผู้ตรวจรับไม่มีอำนาจในการตรวจรับ จึงถือเป็นการตรวจรับโดยมิชอบ”นายนิพนธ์ระบุ

“ที่ป.ป.ช.กล่าวหาเป็นเรื่องละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ไม่ใช่เรื่องทุจริต และอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาแล้ว ที่ผ่านมาผมทำเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และเคารพมาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการทุจริต เหตุใดจึงไม่มองว่าผมรักษาผลประโยชน์แผ่นดิน ยืนยันว่าผมไม่มีเจตนาทำความผิด หรือทำให้ใครเสียหาย ซึ่งล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ออกหมายจับบริษัทเอกชนที่เป็นคู่เทียบเข้ามาเสนอราคา หรือฮั้วกันแล้ว ทั้งหมด 8 หมายจับ”นายนิพนธ์ระบุ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image