เมื่อ “นิ้วกลม-กาละแมร์-ซู่ชิง” พร้อมใจกันเขียนถึง Facebook Live โดยมิได้นัดหมาย

เมื่อ "นิ้วกลม-กาละแมร์-ซู่ชิง" พร้อมใจกันเขียนถึง Facebook Live โดยมิได้นัดหมาย

 

ชีวิตที่ถูกถ่ายทอดสด

ชีวิตที่ถูกถ่ายทอดสด โดย นิ้วกลม

หนึ่งคำถาม ล้านคำตอบ

นิ้วกลม

Advertisement

นักประดิษฐ์ไม่มีวันจินตนาการออกโดยสมบูรณ์ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาจะส่งผลให้อนาคตของมวลมนุษยชาติเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

ก็ใช่, เขาคงคิดไว้คร่าวๆ เท่าที่สมองอัจฉริยะของเขาพอจะประเมินได้ แต่ต่อให้อัจฉริยะเพียงใดก็มิอาจเทียบเคียงได้กับสมองของผู้คนอีกนับล้านซึ่งรับมอบ “นวัตกรรม” เหล่านั้นไปใช้ แตกกอ ต่อยอด ทางความคิดและพฤติกรรม

โลกเปลี่ยนด้วยสมองของผู้ใช้มาโดยตลอด

Advertisement

นาทีที่หลอดไฟกำเนิดขึ้น ผู้ประดิษฐ์มันไม่มีทางจินตนาการถึงโลกทุกวันนี้ออกว่าการที่มนุษย์ไม่ต้องเลิกงานไปพร้อมพระอาทิตย์นั้นจะส่งผลให้โลกหมุนไวและหมุนไปไกลถึงเพียงนี้

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ เฟซบุ๊กเพิ่งแนะนำบริการใหม่ให้ประชากรในประเทศเฟซบุ๊กได้กรี๊ดกร๊าดกัน นั่นคือ Facebook Live ซึ่งอนุญาตให้คุณเผยแพร่ภาพเคลื่อนไหวแบบสดๆ ไปสู่ผู้ชมทางบ้านที่ติดตามคุณอยู่ ไม่ใช่แค่รูป ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ

คราวนี้ทุกคนสามารถถ่ายทอดสด “ชีวิต” ของตัวเองลงไปในเครือข่ายออนไลน์ได้วินาทีต่อวินาที

เราอาจเคยตื่นเต้นกับทีวีดาวเทียมหรือทีวีดิจิตอลที่มีช่องให้กดรีโมตเลือกมากมายก่ายกอง

แต่คราวนี้หนักข้อกว่านั้นมาก ช่องทีวีนับล้านจะวิ่งผ่านหน้าจอของคุณทุกวัน มีรายการนับล้านจากทั่วทุกมุมโลกเกิดขึ้นทุกวินาที ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสถานีเผยแพร่ภาพและเสียงได้ง่ายๆ เพียงแค่มีเฟซบุ๊กและมือถือถ่ายวิดีโอได้สักเครื่อง

ถ้าทำได้ดีก็จะมีแฟนๆ ติดตามล้นหลาม

บางคนอาจบอกว่า เจตนาใช้เฟซบุ๊กเพื่อสื่อสารในวงแคบๆ ส่วนตัวเท่านั้น นั่นก็เป็นไปได้ แต่กระทั่งวงแคบแบบส่วนตัว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสิ่งที่โพสต์ลงในนั้นเราโหยหาสายตาจากใครสักคน (ที่จริงก็หลายคน ยิ่งเยอะยิ่งดี) เพราะถ้าไม่อยากให้ใครดู ไม่อยากให้ใครรู้ เราคงไม่โพสต์ลงไป

ความรู้สึก “อยากถูกเห็น” เช่นนี้ ยิ่งนานวันเราจะยิ่งเสพติด เหมือนที่เราค่อยๆ ถูกสร้างนิสัยจากคำถามง่ายๆ ในกล่องสเตตัสว่างเปล่าว่า “What”s on your mind?” หรือ “คุณคิดอะไรอยู่”

ตื่นเช้าขึ้นมายังไม่ทันคิดอะไร ก็ถูกบังคับ (ชักชวน) ให้คิดอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะความคิดและการเคลื่อนไหวของเราเป็นเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงให้เฟซบุ๊กมีชีวิตต่อไป

เราค่อยๆ ให้ความเห็น มีคนมาตอบโต้ความเห็น กดไลก์ ถกเถียง เราอยู่ท่ามกลางความเห็นมากมายเต็มไปหมดที่พร้อมจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองจะสูญหายไปหากไม่ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องนั้นๆ

บางครั้งการแสดงความเห็นต่อบางเรื่องเกิดขึ้นเพราะเราไม่อยากสาบสูญหรือตกกระแส เรายังอยากยืนยันการมีตัวตนในช่วงเวลานั้นหรือหัวข้อนั้น

I post, therefore I am.

ฉันโพสต์ ฉันจึงมีอยู่

แล้วมันก็กลายเป็นนิสัย แล้วตัวตนของเราในเฟซบุ๊กก็กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องบำรุงรักษาไว้ ยิ่งบำรุงรักษา เราก็ยิ่งใช้เวลากับมันมากขึ้น ยิ่งใช้เวลากับมันมากขึ้น เราก็ยิ่งมีเวลาให้โลกนอกจอน้อยลงเรื่อยๆ

ยิ่งเสพติดโลกในจอ เราก็ยิ่งถอยห่างจากโลกนอกจอ

และยิ่งผู้คนร่วมกันใช้เวลาในนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ โลกในจอก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสิ่งสำคัญและความเคลื่อนไหวที่จำเป็นต้องติดตามมากขึ้นเท่านั้น

เรากลัวพลาดเรื่องราว หากไม่ได้เปิดอ่านสักหนึ่งวัน

เฟซบุ๊กสร้างนิสัยให้เราสำเร็จ

โดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ด้วยความที่มันค่อยๆ เปลี่ยน เราจึงไม่ทันสังเกตหรอกว่าเราคุยกับคนตรงหน้าอย่างมีสมาธิและใส่ใจน้อยลง

เราไม่สามารถนั่งนิ่งๆ บนสนามหญ้าโดยไม่หยิบมือถือขึ้นมาเช็ก

เราไม่สามารถอ่านหนังสือในช่วงเวลายาวนานโดยไม่เปิดจอมาอ่านเรื่องอื่น

เรารู้สึกว่าได้พูดคุยกับเพื่อนมากพอแล้ว ผ่านการแซวไปมาในคอมเมนต์ นั่นทำให้เรานัดเจอกันจริงๆ น้อยลง และอื่นๆ อีกมากมายที่มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเรา

ซึ่งยังไม่ต้องตัดสินกันหรอกว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นดีหรือไม่ดี เอาแค่ว่ามันเปลี่ยนเราได้จริงๆ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หาก Facebook Live จะทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไปอีกรอบ และเป็นไปได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายมหาศาล

เราไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ในโลกที่ทุกคนมีกล้องถ่ายทอดสดอยู่ในมือจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะสมองอันแตกต่างกันนับล้านย่อมหาลู่ทางนำไปใช้ในแบบที่สมองน้อยๆ ของเราคิดไม่ถึง อยู่ที่ว่าเราจะลองคิดแทนใคร

หากลองคิดแทนภรรยา งานนี้สามีย่อมมีหนาว ถ้าอยากรู้ว่าคุณสามีสุดที่รักอยู่ที่ไหน แต่ก่อนอาจบอกให้ถ่ายรูปมาให้ดู ซึ่งสามีมือโปรบางคนก็อาจถ่ายรูปเก็บไว้เป็นสต๊อก แต่เดี๋ยวนี้ภรรยาอาจจะบอกว่า “แกช่วยถ่าย Facebook Live ให้ดูสดๆ หน่อย” ซึ่งบริการนี้คงช่วยทำให้คุณสามีซื่อสัตย์ขึ้นทันตาเห็น

มันจะถูกใช้ในโอกาสสารพัด ทั้งสำคัญ ไม่สำคัญ พิเศษ ธรรมดา จริงจัง และบ้าบอ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามนุษย์ผู้รักสนุกจะสร้างสรรค์สิ่งใดขึ้นบ้างจากบริการสุดล้ำนี้

ที่น่าคิดคือวิดีโอทั้งหมดนี้จะถูกเซ็นเซอร์ไหม ด้วยวิธีอะไร ผมไม่แน่ใจว่าเฟซบุ๊กจะมีฝ่ายตรวจตราเนื้อหาการถ่ายทอดสดโดยเฉพาะหรือเปล่า ซึ่งถ้ามีก็มีเรื่องชวนคิดต่อ ว่าเราจะรู้ “เกณฑ์” ในการเซ็นเซอร์ได้อย่างไร

เนื้อหาแบบไหนออกอากาศได้ เนื้อหาแบบไหนถูกแบน

อุดมการณ์แบบไหนออกได้ อุดมการณ์แบบไหนถูกแบน

การพูดถึงสินค้าแบรนด์ไหนออกได้ บ่นด่าสินค้าแบรนด์ไหนถูกแบน (และแบรนด์ไหนจ่ายตังค์หลังไมค์) ความเชื่อแบบไหนออกได้ ความเชื่อแบบไหนถูกแบน (ศาสนาและพรรคการเมืองไหนจ่ายตังค์หลังไมค์)

หากมีการสกรีนเนื้อหาจริงๆ เกณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ เพราะนั่นเท่ากับว่าหน่วยกรองเนื้อหานี้มีอิทธิพลชี้นำสังคมเลยทีเดียว การคัดสรรและคัดทิ้งจึงต้องโปร่งใสอย่างยิ่ง

ในทางกลับกัน ถ้าเนื้อหาทั้งหมดไม่มีหน่วยเซ็นเซอร์ก็ชวนคิดไปอีกแบบ ลองนึกถึงโลกที่กองเซ็นเซอร์หมดพลังอำนาจดูสิครับ สนุกกันล่ะทีนี้

สิ่งที่เคยถูกกีดกันออกไปจากจอทีวีจะวิ่งเพ่นพ่านบนหน้าจอเต็มไปหมด คำหยาบ ความรุนแรง หนังโป๊ ความโหดร้าย และอื่นๆ อีกมากมายล้านแปด ซึ่งทุกวันนี้ก็มีแพร่หลายในโลกออนไลน์อยู่แล้ว

สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ถ้ามันเกิดขึ้นสดๆ ถ่ายทอดสดได้ ก็ยิ่งเซ็นเซอร์สิ่งเหล่านี้ยากขึ้นมาก

ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่คนชอบดู เพราะมันเคยเป็นเรื่องที่ถูกเซ็นเซอร์มาก่อน

พอ demand มาก supply ก็ต้องมากตามเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะอยากทำขึ้นมาเพื่อเรียกไลก์หรือเห็นช่องทางทำกำไรก็ตามที และเมื่อมีการแข่งขันสูงก็จะยิ่งเหวี่ยงไปสู่ความสุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ แฉขึ้นเรื่อยๆ โป๊ขึ้นเรื่อยๆ ดิบเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดีกรีมากขึ้นก็ยิ่งดึงดูดความสนใจมากขึ้น

การนำไปใช้ในทางสร้างสรรค์คงมีมากมาย

ศิลปินทั้งหลายสามารถนำเสนอผลงานผ่านช่องทางเหล่านี้ได้สดๆ มีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับได้ทันทีทันใด

พวกเขาไม่ต้องง้อทีวีอีกต่อไป ข่าวสารจะหลั่งไหลจากทั่วสารทิศ

ความสำคัญของสิ่งต่างๆ ถูกทำให้แบนเป็นระนาบเดียวกันเมื่อทุกคนสามารถรายงาน “ข่าว” ของตัวเองได้

นายกฯ อาจได้รับความสนใจน้อยกว่าสาวน้อยบางคน เพราะผู้คนมีทางเลือก ไม่ถูกบังคับดูแค่ไม่กี่ช่องทางอีกต่อไป

นักข่าวต้องรับบทหนัก เพราะทุกคนพร้อมจะเป็นนักข่าว ทีวีจะกลายเป็นอดีต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจอทีวีเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นนานแล้ว และกลายเป็นเพียงบันทึกประวัติศาสตร์

ในทางการเมือง มีโอกาสที่จะเกิดม็อบที่ทุกคนแพร่ภาพพร้อมกันเพื่อเรียกร้องต่อสู้บางสิ่งโดยไม่ต้องออกจากบ้านไปปะทะกับเจ้าหน้าที่ ข่าวจริง ข่าวเท็จ ข่าวลือ ข้อมูลต่างๆ จะผสมกันมั่วซั่ว ต้องอาศัยทักษะตรวจสอบความจริงของแต่ละคนก่อนที่จะหลงเชื่อง่ายๆ

อาจมีบางคนยินดีเป็นแพนด้า ถ่ายทอดสดชีวิตตัวเอง 24 ชั่วโมง เพื่อรายได้จากโฆษณาที่จะเข้ามาสนับสนุน การใช้สิ่งของต่างๆ ของดาราและคนดังจะแยกไม่ออกว่าอันไหนใช้จริงอันไหนรับตังค์มา เพราะทุกวินาทีคือช่องทางทำเงิน ลองคิดภาพว่าวันนี้ทุกคนมีช่องสามช่องเจ็ดเป็นของตัวเองแล้ว คุณจะทำอะไรกับมัน

สิ่งที่น่ากังวลคือความเป็นส่วนตัวของทุกคน เพราะนี่คือกล้อง CCTV ที่ถี่เสียยิ่งกว่าทุกหัวถนน กล้องอยู่ในมือทุกคน พร้อมจะหยิบขึ้นมาถ่ายใครก็ได้ทุกวินาที ระหว่างเดินเล่นอยู่ในห้าง เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าภาพของเราจะไม่ถูกถ่ายทอดสดอยู่ในเฟซบุ๊กของใครคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะหลายคนด้วยซ้ำ

ทุกคนพร้อมจะตกเป็นวัตถุในการถูกจ้องมอง ความเป็นส่วนตัวจะสาบสูญไป

เราจะอยู่ในโลกที่ทุกคนรู้สึกตลอดเวลาว่าต้องรายงานชีวิตให้คนอื่นรู้แบบสดๆ ขณะที่ในระหว่างที่ไม่ได้ถ่ายทอดสดตัวเอง เราก็จะเป็นกังวลอยู่ในใจตลอดเวลาว่า-มีใครถ่ายกูอยู่หรือเปล่า

นี่คือโลกที่สายตานับล้านรายล้อมอยู่รอบตัวเรา ความลับไม่มีในโลก

มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีไว้เพื่อจ้องมอง-ซึ่งกันและกัน

ทุกการกระทำของทุกคนพร้อมจะถูกรับรู้จากทุกคน

ชีวิตจะเปลี่ยนไปอีกมาก ในแบบที่เราคิดไม่ถึง

ในแบบที่คนซึ่งคิดค้นเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาก็คิดไม่ถึง

 

สิ่งที่จะมาแทนทีวี

สิ่งที่จะมาแทนทีวี โดย กาละแมร์

ชายตาหาข้าวเปลือก

กาละแมร์ พัชรศรี twitter :@kalamare

ในฐานะของคนที่ชอบดูทีวีมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็ดูทีวี อยากทำงานทีวี จนได้มาทำทีวี ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาลมหายใจเข้าออกฉันคือทีวี…

ทีวีดิจิตอลเมืองไทยเดินทางมาถึงจุดที่คนดูทีวีกันน้อยลง แต่ช่องกลับมีมากขึ้น เงินโฆษณาเท่าเดิม เพิ่มเติมคือการแบ่งเค้กก้อนนั้น คนทำงานก็มีกันกระจุกเดิม เพิ่มเติมคือคุณภาพที่ลดลงเพราะต้องกระจายไปทำรายการต่างๆ มากขึ้น

คนเจเนอเรชั่นใหม่แทบไม่ดูทีวีเพราะเขามีจอส่วนตัวของเขา เขาไม่ต้องการเสาทีวี เขาต้องการแค่ wifi

ฉันเกรงว่าหลังคนเจเนอเรชั่น X อย่างฉัน และต้นๆ คนเจเนอเรชั่น Y อาจเป็นรุ่นสุดท้ายที่ดูทีวี!

เมื่อคนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัว เขาไม่ต้องรอดูรายการ รอดูข่าว รอดูละครที่อยากดูอีกต่อไป เขาจะดูก็ต่อเมื่อเขาอยากดู แค่คลิกดูย้อนหลังตอนไหนก็ได้ เขาไม่ต้องรอหาคำตอบจากผู้รู้ทางทีวี เขามีกูเกิลที่ตอบเข้าได้เพียงเสี้ยววินาทีตลอด 24 ช.ม.

คนที่อยู่กับทีวีอย่างฉันมาครึ่งค่อนชีวิตอดใจหายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้

ฉันคิดวนเวียนถึงอนาคตของตัวเองกับทีวีมาพักใหญ่ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร

จนวันหนึ่ง Facebook มีออปชั่นขึ้นมาใหม่ว่าต่อไปนี้ Facebook สามารถ Live ได้ตลอด 24 ช.ม.!!!!

มันคืออย่างนี้ค่ะ ปรกติเวลาที่เราจะเขียน status ลงรูปภาพ หรือลงรูปลงวิดีโอ มันก็จะมีสัญลักษณ์ให้เราใช่ไหมคะ แต่คราวนี้มันเพิ่มปุ่มขึ้นมาอีกปุ่มไว้สำหรับการ Live

เมื่อคุณกดปุ่มนี้ มันจะเหมือนคุณกำลังออกทีวีให้คนดูกันสดๆ มีหน้าให้เขียนคำบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับการจะ Live ของคุณในครั้งนี้ แล้วมันจะขึ้นตัวเลข 3…2…1 เริ่มค่ะ

คราวนี้ภาพและเสียง การเคลื่อนไหวของคุณจะถูกถ่ายทอดไปสู่คนที่เขาติดตามคุณอยู่ แบบสดๆ ไม่มีการตัดต่อใดๆ

แล้วคนที่ดูคุณอยู่เขาก็สามารถมีคอมเมนต์มาหาคุณได้เป็น real time

เขาจะทักทาย ตอบโต้ แสดงความเห็นอะไรก็แล้วแต่มาหาคุณที่ใต้ภาพเคลื่อนไหวของคุณ

คุณจะมองเห็นมันในทันทีและตอบโต้กับคนคนนั้น และคุณก็จะเห็นว่า ณ ตอนนั้นมีคนดูคุณอยู่กี่คน มันจะขึ้นไว้บนหน้าจอ

ไม่ใช่ทุกคนที่จะ Live ได้ ตอนนี้ Facebook จะสุ่มไปเรื่อยๆ บางคนใช้ account ส่วนตัวก็ทำได้ บางคนต้องเปิดเป็น page ที่ไม่จำกัดคนติดตามถึงทำได้ แต่ไม่ว่า account ไหนต้องตั้งค่าเป็น public ให้คนติดตามได้สะดวก

ทุกวันนี้คนใช้ facebook ในประเทศไทยมีประมาณ 35 ล้านบัญชี เป็นลำดับ 3 ในอาเซียน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ เด็กบางคนเกิดมาก็มี account facebook แล้วเพราะพ่อแม่ทำให้

ในวันที่ฉันเริ่ม live ฉันตื่นเต้นเหมือนเราออกทีวีใหม่ๆ ฉันมีเรื่องเล่ามากมาย

บางทีก็คิดว่าตัวเองบ้าหรือเปล่าที่พูดคนเดียวอยู่ได้

แต่ฉันรู้ว่ามีคนติดตามดูและฟังฉันอยู่

จำนวนอาจจะไม่มากเท่ากับการดูทีวีในปัจจุบัน เพราะ facebook : kalamare เพิ่งมีคนติดตาม ได้ 4 หมื่นกว่าคน และเพิ่มเป็น 6 หมื่นกว่าคนในช่วงเวลา 2 สัปดาห์

ซึ่งในตอนแรกฉันมีน้องแฟนคลับคนหนึ่งที่รักกันเป็นคนทำ fanpage นี้ขึ้นมาและเป็น admin คนดูแลมัน คอยอัพเดตผลงานฉันอยู่เนืองๆ

สิ่งที่ฉันพูดและทำเวลา live ก็คือทำกับข้าวบ้าง พูดคุยเม้าธ์มอยในสิ่งที่ไปเจอมา ตอนทำงานบ้าง เซ็นหนังสือบ้าง

หรือตอนพักผ่อนชิลๆ บ้าง

ตอนแรกๆ ก็ตั้งโทรศัพท์ไว้ตามมุม ตามซอก หรือหาอะไรมาให้โทรศัพท์พิงไว้ มีคว่ำบ้าง หล่นบ้าง

จนในวันที่ฉันไปเซ็นหนังสือในงานหนังสือก็มีแฟนๆ ที่เข้ามาแล้วบอกว่า “หนูตามดู live พี่อยู่ เอาขาตั้งกล้องมาให้ โทรศัพท์จะได้ไม่ตกลงไปในกระทะ”

เฮ้ย!!!! งงเลย คนเอาอุปกรณ์การ live มาให้ฉันเพื่ออำนวยความสะดวกมากขึ้น ไม่ใช่คนเดียว

อีกคนเอาคลิปตัวหนีบแบบเป็นลวดๆ แล้วดึงยืดออกมาได้มาให้ บอกให้หนีบเวลาทำกับข้าว!

ยังไม่พอ มีพี่อีกคนเอาข้าวของ ผัก ผลไม้ มาให้ไปทำกับข้าวกิน

แล้วก็มีคนเข้ามาบอกว่าดู Live อยู่นะ คืนนี้อย่าลืม Live จะรอดูอยู่

เชื่อไหมว่าทุกวันของการเจอผู้คนต้องมีคนมาพูดกับฉันอย่างนี้ “คืนนี้จะ live ไหม”

แต่ถ้าคนไหนดูตอน live ไม่ทัน มันก็จะเก็บเป็นคลิปไว้ในหน้า page เรา คนสามารถมาดูย้อนหลังได้

แต่คนมักชอบดูตอน live สดๆ มากกว่าเพราะสามารถพิมพ์เข้ามาทักทายและโต้ตอบกับเราได้

เวลาใครเข้ามาดู live ทันจะพิมพ์เข้ามาบอกว่า “ดีใจจังวันนี้ทันดู live”

ตอนนี้ในเมืองไทยเริ่มที่มีคน live มากขึ้น

บางคนร้องเพลง จัดรายการวิทยุ บางคนตั้งกล้องไว้ในบ้านเฉยๆ ให้คนได้ดูชีวิตเขาไปเรื่อยๆ

บางสำนักข่าวใช้วิธีการ live เวลามีแถลงข่าว แค่ตั้งกล้องแล้ววางยาวตลอดการแถลง นั่นหมายถึงเราก็จะมีช่องเป็นคนตัวเอง แบบไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ค่าโปรดักชั่น แสง เสียง ค่าฉาก โปรดิวเซอร์ คนเขียนบท รถถ่ายทอดสด ขอแค่มีสัญญาณโทรศัพท์แรงๆ เท่านั้นก็พอ

เมื่อพฤติกรรมคนดูทีวีเปลี่ยนไป เขาต้องการดูของจริงมากขึ้น ไม่ต้องเซ็ตหรือตัดต่ออะไรมาก การต่อสู้ทาง content เนื้อหาจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง

หรือบางทีอาจไม่ต้องมีเนื้อหาใดแค่คนนั้นเป็นคนดังจะ live อะไรคนก็ติดตามแล้ว

และนอกจากนี้ เรายังรู้ได้ว่าคนที่ดูเราส่วนใหญ่เป็นใคร อยู่ในอายุเท่าไหร่ ดูนานเฉลี่ยกี่นาที วัดเรตติ้งต่อสัปดาห์ให้ มันรอบคอบไหมล่ะ facebook ต่อไปจะลงโฆษณาอะไรก็ดูจากเรตติ้งเหล่านี้ได้

Live มาตอบโจทย์การออกทีวีได้ทั่วโลกของฉัน นับจากนี้ฉันจะถ่ายทอดสดจากทุกมุมโลกที่ฉันไป สัญชาตญาณนักข่าวของฉันกลับมาอีกครั้ง ไฟในตัวลุกโชนเมื่อคิดว่าเราจะได้มีโอกาสบอกคนอื่นๆ ว่าด้านหลังของเรามันเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเล่าให้คุณฟังเอง

เมื่อโลกหมุนไป เราจึงต้องเคลื่อนไหวเสมอ…

 

Facebook Live ลองใช้แล้วหรือยัง

facebook live ลองใช้แล้วหรือยัง โดย ซู่ชิง

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน @Sue_Ching Facebook.com/JitsupaChin

ในตอนนี้ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบนโทรศัพท์สมาร์ตโฟนไม่ว่าจะเป็นไอโฟนหรือโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ก็น่าจะทยอยเห็นความเปลี่ยนแปลงกันถ้วนหน้าแล้ว ว่าทุกครั้งที่กดเปิดหน้าต่างจะเขียนข้อความหรือแชร์รูปภาพ มุมด้านขวาล่างจะมีไอคอนใหม่ปรากฏขึ้นมา เป็นรูปคนที่ล้อมรอบไปด้วยวงกลมสองชั้น

นี่คือฟีเจอร์ใหม่ที่เฟซบุ๊กภาคภูมิใจนำเสนอ

มันก็คือฟีเจอร์ Facebook Live นั่นเองค่ะ

Facebook Live คือฟีเจอร์ที่จะทำให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กสามารถที่จะถ่ายทอดสดให้เพื่อนๆ ได้ดูกันแบบตามเวลาจริง แทนที่จะแชร์วิดีโอที่ถ่ายมาแล้วและต้องใช้เวลาอัพโหลดอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

แต่การใช้ฟีเจอร์นี้จะทำให้คนที่กดเข้ามาดูสามารถติดตามสิ่งที่เราต้องการสื่อสารได้แบบวินาทีต่อวินาทีราวกับกำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์และดูนักข่าวรายงานสดจากที่เกิดเหตุนั่นแหละค่ะ

ช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมาเทรนด์ของการไลฟ์สตรีมหรือถ่ายทอดสดเป็นเทรนด์ที่มาแรง จะเห็นได้จากความนิยมแอพพลิเคชั่นในทำนองนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซู่ชิงคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเราเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับรูปแบบการแชร์ข้อความ ภาพ หรือวิดีโอแบบเดิมๆ

และทุกวันนี้เราสามารถหยิบจับทุกอย่างรอบตัวเพื่อเปลี่ยนให้เป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น ฟีเจอร์ Facebook Live จึงช่วยเพิ่มความสดใหม่ให้กับวิธีที่เราจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันค่ะ

ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้ทั้งแอ็กเคาต์ทั่วไปและเพจเฟซบุ๊กค่ะ

บทความในวันนี้เราก็เลยจะมาปูพื้นฐานและแชร์เคล็ดลับการใช้ฟีเจอร์ Facebook Live กันอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

มาดูวิธีใช้กันก่อนนะคะ

วิธีไลฟ์เฟซบุ๊ก

ในหน้าต่างของการถ่ายทอดสด เราจะเห็นจำนวนของผู้ที่คลิกเข้ามาชมสดๆ ในขณะนั้น และหากเป็นเพื่อนในเฟรนด์ลิสต์ของเรา เราก็จะเห็นทันทีว่าคนที่กดเข้ามาดูนั้นมีใครบ้าง แต่ละคนสามารถทิ้งข้อความมาพูดคุยกับเราได้

การถ่ายทอดสดจะทำได้เพียงแค่ครั้งละ 30 นาทีเท่านั้นสำหรับแอ็กเคาต์โดยทั่วไป และ 90 นาทีสำหรับแฟนเพจค่ะ

ทางด้านของผู้ชมคนอื่นๆ ทุกครั้งที่มีเพื่อนหรือเพจที่ไลก์เอาไว้กดถ่ายทอดสด พวกเขาก็จะได้รับคำเตือน หรือเห็นโพสต์ถ่ายทอดสดนั้นโผล่ขึ้นมาเป็นโพสต์แรกๆ ของหน้านิวส์ฟีด ทำให้สามารถกดเข้าไปชมและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้ง่ายๆ แม้จะไม่รู้มาก่อนล่วงหน้าว่าจะมีการถ่ายทอดสดก็ตาม

หลังจากที่ได้ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้มาระยะหนึ่ง บวกกับการกดเข้าไปดูคนอื่นถ่ายทอดสดบ่อยๆ ซู่ชิงก็เลยอยากจะมาเชิญชวนให้คุณผู้อ่านที่ใช้งานเฟซบุ๊กได้ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้กันเยอะๆ

และอยากจะมาแชร์เคล็ดลับให้ด้วยค่ะว่าทำยังไงให้การถ่ายทอดสดของเราน่าสนใจและคนจะอยากกดเข้ามาดูกันเยอะๆ

โดยจะรวบรวมมาจากทั้งประสบการณ์ส่วนตัวและจากคำแนะนำของเฟซบุ๊กด้วยค่ะ

อย่างแรกเลยก็คือ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะเห็นโพสต์ถ่ายทอดสดของเราเป็นโพสต์แรกๆ แต่หากหวังผลเรื่องจำนวนคนที่จะเข้ามาชมเราก็ควรจะมีการบอกแจ้งไว้ล่วงหน้าด้วย อาจจะกำหนดเอาไว้คร่าวๆ ว่า “วันนี้บ่ายสองจะถ่ายทอดสด เรื่อง…” เพื่อให้ผู้ชมมีเวลาได้เคลียร์นั่นเคลียร์นี่ให้เรียบร้อยก่อนจะกดเข้ามาดูเรา

อย่างถัดมาก็คือ ควรต้องให้มั่นใจว่าอินเตอร์เน็ตเราโอเค ไม่เน่าไม่อืด เช็กดูเลยว่ามี WiFi ให้ต่อได้มั้ย หรืออย่างน้อยๆ ถ้าไม่มี WiFi ให้ใช้ ก็ควรจะมี 4G ที่เราวางใจได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะก็คงไม่มีใครอยากดูภาพที่กากเบลอหรือกระตุกจนไม่รู้เรื่อง หากสัญญาณอินเตอร์เน็ตแย่เกินจะรับไหว ปุ่ม Go Live ของเราก็จะกลายเป็นสีเทาให้กดไม่ได้ด้วยค่ะ

สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือเขียนคำบรรยายดีๆ ว่าเราจะถ่ายทอดสดอะไร พาดหัวให้โดนใจให้คนอื่นรู้สึกว่าคลิกเข้ามาจะได้ชมของดีแบบไม่เสียเวลาฟรีๆ

ระยะเวลาการถ่ายทอดสดต้องพอดีๆ ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไป บางคนถ่ายทอดสดแค่ 3-5 นาที คนกดเข้าไปดูได้ไม่กี่วินาทีก็บอกลากันเสียแล้ว อันนี้น่าหงุดหงิดจริงๆ ซู่ชิงคิดว่าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะอยู่ที่ 10 นาทีค่ะ เฟซบุ๊กก็แนะนำเท่านี้เป๊ะ

ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่กำลังชมอยู่ด้วย เช่น เซย์ไฮกับเขาสักหน่อย ถ้าเห็นชื่อใครเข้ามาแล้วรู้จักกันดีก็ทักทายผ่านทางหน้าจอไปเลยก็ได้ ที่สำคัญจะต้องมีการอ่านคอมเมนต์ที่คนอื่นทิ้งเอาไว้ ถ้าเป็นคำถามที่ตอบได้ก็ตอบสดไปเลย ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากการถ่ายทอดสดให้คุ้มค่าที่สุด และผู้ชมก็จะรู้สึกดีด้วยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดสดของเรา

ก่อนจะจบการถ่ายทอดสดก็ควรจะมีการประชาสัมพันธ์สักหน่อยว่าหากชอบและอยากติดตามการถ่ายทอดสดครั้งต่อๆ ไปก็อย่าลืมกดปุ่มติดตาม “Follow” ไว้ด้วย ถ่ายทอดสดอีกเมื่อไหร่ก็จะมีคำเตือนส่งไปให้ทุกครั้ง

สำหรับใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาฟีเจอร์นี้ไปถ่ายทอดสดอะไร

มีหลายอย่างมากเลยค่ะที่เหมาะสำหรับการใช้ฟีเจอร์นี้โดยที่ตัวคุณเองไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในสังคมกว้างก็ได้ ไม่ต้องเป็นดารา ไม่ต้องเป็นนักร้อง แต่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ในการบอกความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นสังคมที่กำลังฮ็อตฮิตอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ

หากเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหน แล้วอยากแบ่งปันวิวสวยๆ เรื่องราวน่าสนใจในสถานที่ที่อยู่ ก็เหมาะสำหรับการใช้ฟีเจอร์นี้เหมือนกัน

หรือในกรณีที่จู่ๆ ตัวคุณเองไปอยู่ในที่ที่เกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่คนทั่วประเทศกำลังให้ความสนใจอยากอัพเดต ก็สามารถใช้ Facebook Live ในการถ่ายทอดสดและแปลงโฉมตัวเองให้เป็นนักข่าวจำเป็นได้ทันที

สําหรับคนที่มีผู้ติดตามในแนวทางใดแนวทางหนึ่งอยู่แล้ว เช่น อาจจะเป็นนักเขียน บล็อกเกอร์ นักกีฬา เน็ตไอดอล ฯลฯ ลองใช้ฟีเจอร์นี้ในการสร้างความสัมพันธ์กับแฟนๆ ของตัวเองด้วยการจัดเซสชั่นถามตอบ Q&A ก็น่าจะทำให้ตัวคุณเองได้ใกล้ชิดกับผู้ติดตามมากขึ้น

ใครมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงก็ร้องเพลงสด

หรือหากมีเคล็ดลับอะไรที่อยากแชร์ อย่างเช่น วิธีการทำอาหาร การใช้ Facebook Live ก็จะทำให้การทำอาหารสนุกขึ้นแน่ๆ

ท้ายที่สุดก็คืออย่ามองข้ามความสำคัญของการใส่ใจคุณภาพโปรดักชั่นนะคะ อาจจะไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ราคาแพงมาใช้ในการถ่ายทอดสด แต่อย่างน้อยก็ต้องมีการวางแผนที่ดี เช่น แสงโอเคหรือเปล่า องค์ประกอบภาพได้ไหม

และสำคัญที่สุดก็คือคุณภาพเสียง ถ้าจำเป็นก็ลองซื้อไมโครโฟนง่ายๆ ที่สามารถใช้กับสมาร์ตโฟนของเราได้

เพราะในแง่ของโปรดักชั่นแล้วเสียงที่ดีหรือไม่ดีมีผลที่จะทำให้เกิดความแตกต่างได้ไม่น้อยเลย

ลองเช็กดูนะคะว่าใครมีฟีเจอร์ Facebook Live ให้พร้อมใช้งานอยู่แล้ว ถ้ามีแล้วจะรออะไรอยู่ กด Go Live กันเลยค่ะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image