ชี้ ‘หมวดไวกิ้ง’ สะท้อน ‘ตร.หญิง’ มีความสามารถ จี้เปิดโอกาสมากกว่านี้ อย่าให้เป็นเพียงขาตั้งมือถือ
ทุกคนต่างเกาะติดข่าวจับกุมตัว พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่าผู้ต้องหาค้ายาเสพติด ใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาจนเสียชีวิตอย่างทรมาน ซึ่งกำลังถูกสังคมพูดถึงหนักมากกับการแถลงข่าวเมื่อคืนวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือ ภาพที่ตำรวจหญิงนายหนึ่งนั่งคุกเข่าถือโทรศัพท์ข้าง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งหลายคนมองว่าไม่เหมาะสมนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– สรุปทุกประเด็น คดี ‘แก๊งผู้กำกับโจ้’ ก่อนรวบตัวที่ชลบุรี โฟนอินแถลง ขอรับผิดคนเดียว
ล่าสุด (27 สิงหาคม) นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ให้สัมภาษณ์กับมติชนว่า มองตั้งแต่การจัดแถลงข่าวว่าเหมาะสมหรือไม่ ตั้งแต่การเปิดโอกาสให้ผู้กำกับโจ้ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาได้ชี้แจงต่อสังคมยืดยาว นำไปสู่การบอกว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า ทำเพื่อชาวจังหวัดเพื่อให้ตัวเองดูขึ้น รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่อยากให้เห็นหน้า ทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่หากใช้วิจารณญาณแล้วสิ่งที่ทำและสิ่งที่พูดมันต่างกันทางนัยยะ เพราะตำรวจที่กว่าจะขึ้นเป็นผู้กำกับสถานีได้ ต้องผ่านการฝึกอบรมอะไรมาหลายอย่าง ทั้งนี้ ดิฉันกังวลว่าการแถลงข่าวนี้จะถูกนำไปหยิบยกต่อสู้ในศาล ว่าการกระทำของเขาผู้บังคับบัญชายังเปิดโอกาสให้ชี้แจง
“จริงๆ อยากถามอีกว่าช่วงเวลาจัดแถลงข่าวอยู่ในช่วงเวลาเคอร์ฟิวหรือไม่ ขออนุญาตหรือยัง การแถลงข่าวมีเหตุจำเป็นแค่ไหน”
ตำรวจหญิงกับบทบาทขาตั้งโทรศัพท์มือถือส่วนกรณีการแถลงข่าวที่มีภาพตำรวจหญิงนายหนึ่ง นั่งคุกเข่าข้าง ผบ.ตร.คอยถือโทรศัพท์จ่อไมโครโฟน เพื่อให้ผู้ต้องหาได้ชี้แจงและตอบคำถามสื่อมวลชน นางสาวสุเพ็ญศรี มองว่า ในแวดวงนักสิทธิสตรี นักวิชาการด้านสตรี ก็พูดคุยถึงภาพดังกล่าว และตั้งคำถามว่า ในเวทีการแถลงข่าวที่มีไมโครโฟนไร้สายอยู่แล้ว ทำไมไม่นำมาวางข้างๆ มือถือที่เปิดสปีกเกอร์โฟนอยู่ วางบนโต๊ะ เพื่อตำรวจหญิงดังกล่าวจะได้ไม่ต้องมาบริการ ซึ่งดูแล้วไม่เหมาะสม
“ไม่ว่าจะผู้บังคับบัญชาเรียกใช้ หรือความปรารถนาดีของตำรวจหญิงเองก็ตาม แต่ภาพที่ออกมาดูแล้วไม่เหมาะสม ทั้งที่วางโทรศัพท์กับโต๊ะแล้วนำไมโครโฟนไปวางจ่อก็ได้”
“เคยไปสถานีตำรวจเห็นป้ายติดประกาศนโยบาย ผบ.ตร.ที่บอกว่าจะปฏิบัติตามมาตรฐานสากล แต่ในมาตรฐานสากลไม่มีการนำตำรวจหญิงมานั่งอย่างนี้เวลาแถลงข่าวหรอก”
ตำรวจหญิงมีความสามารถหากเปิดโอกาสให้ลองทำ
นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตำรวจหญิงปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่แพ้ตำรวจชาย หากได้รับโอกาสให้ลองทำ ที่ผ่านมามีตำรวจหญิงหลายนายได้ขึ้นระดับผู้กำกับสถานี ในหลายท้องที่ การขึ้นตำแหน่งนี้ต้องสอบเท่านั้นถึงจะเลื่อนขั้นได้ พวกเธอไม่มีตั๋วอะไร ที่สำคัญทราบว่าหลายคนปฏิบัติงานจนได้รางวัลระดับนานาชาติ ด้านการปฏิบัติหน้าที่
“น่าเสียดายว่าปัจจุบันการเปิดรับสมัครนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงยังปิดอยู่ เปิดเพียงให้ผู้หญิงที่เรียนจบเนติบัณฑิตและนิติศาสตร์ ได้มาสอบเป็นพนักงานสอบสวนหญิงเท่านั้น โดยปัจจุบันมีพนักงานสอบสวนหญิงทั่วประเทศ 500 กว่านาย ทำหน้าที่รับสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ เด็ก ผู้หญิง ความรุนแรงครอบครัว แต่ยังมีไม่ครบทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ”
นางสาวสุเพ็ญศรีกล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติและบางองค์กรเคยประเมินความสามารถของพนักงานสอบสวนหญิงแล้ว พวกเธอมีความรู้ความสามารถมากกว่าบทบาทที่มีอยู่ในปัจจุบัน ฉะนั้นอยากให้เปิดโอกาส เช่น การเปิดรับสมัครนักเรียนนายร้อยหญิงอีกครั้ง การเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหญิง เป็นต้น
หมวดไวกิ้งเคยเป็นพนักงานสอบสวนหญิง หน่วยก้านใช้ได้
นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวถึง ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ หรือ หมวดไวกิ้ง ซึ่งปัจจุบันเป็นนายตำรวจติดตาม พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า จริงๆ เคยร่วมงานกับ หมวดไวกิ้ง เป็นคดีความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นช่วงต้นปี 2563 ตอนนั้นหมวดไวกิ้งเป็นรองสารวัตรสอบสวน สน.ดอนเมือง เธอเป็นคนมีหน่วยก้านใช้ได้ ทะมัดทะแมง รวดเร็ว แม้ตอนแรกจะออกสไตล์แข็งๆ เมื่อเจอผู้เสียหายมากับเอ็นจีโอ แต่หลังจากได้พูดคุยและร่วมงานกัน พบว่ามีความเข้าใจและใส่ใจผู้เสียหาย อีกทั้งถือว่าเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์และอัธยาศัยดี ก็น่าเสียดายบทบาทการทำงาน “พนักงานสอบสวนหญิง” มาเป็น “นายเวรติดตามนาย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– เปิดใจ “หมวดไวกิ้ง” ภัทรศยา ฤกษ์รัตน์ ตำรวจหญิงคนดัง ชั่วข้ามคืน
ภาพจากไอจี @patarasayaa
