สเปน มาลุยบอลโลก 2018 ในฐานะตัวเต็ง แต่สุดท้ายเมื่อโดน รัสเซีย เขี่ยร่วงแค่รอบ 16 ทีมกลับบ้าน กลายเป็นว่าทำได้แค่นี้ก็โอเค ตกรอบแบบโลกไม่แตก
แฟนๆ คงทำใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะจบไม่สวย หลังจากผู้บริหารสหพันธ์ฟุตบอลสเปนสั่งปลด ฆูเลน โลเปเตกี ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม 2 วัน แล้วดึง เฟร์นันโด เอียร์โร่ มาเสียบแทนฉุกเฉิน ทั้งที่คนเดิมเขาเตรียมทีมมานานถึง 2 ปี
มันก็ไม่แน่ว่าถ้าโลเปเตกียังอยู่ สเปนจะไปได้ไกลกว่ารอบ 16 ทีมไหม แต่อย่างน้อย 2 ปีที่ปลุกปั้นกันมา ทีมกระทิงดุไม่เคยแพ้นะครับ เครดิตมากพอจะเชื่อได้ว่าอะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้
ไม่ใช่ลงเตะไป 4 เกม หาหัวใจของความเป็นสเปนแทบไม่เจอ
ทีมกระทิงดุที่ทุกคนเคยยอมรับนับถือเล่นบอลเร็วมาก เหี้ยมเกรียมมากเพราะไล่เพรสซิ่ง บดขยี้คู่แข่งตลอดเวลา เสียบอลตรงไหน เริ่มเพรสตรงนั้น พอแย่งได้ก็รีบเล่นเร็ว บุกต่อทันที
แต่สเปนในบอลโลกหนนี้ นอกจากจะไม่ดุแล้วยังขี้เกียจ เล่นช้าน่าเบื่อเป็นที่สุด
กุนซือเฉพาะกิจ เฟร์นันโด เอียร์โร่ เข้ามาประคองทีมไม่ให้แตก แต่ก็ไม่มีทีเด็ด ไม่เก่งพอที่จะปรับเกมให้ดีขึ้น
สเปนจึงเหมือนเล่นไปตามความรับผิดชอบ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่มีความมุ่งมั่นแบบที่ทีมลุ้นแชมป์เขามีกัน
นักเตะจิตตกไปตั้งแต่ก่อนแข่ง แล้วบางทีทางบอลแบบสเปนก็อาจไม่เหลืออะไรให้เซอร์ไพรส์ด้วย
เดี๋ยวนี้ทีมที่เล่นเร็ว ไฮเพรสซิ่ง มีให้เห็นเยอะแยะ บางรายเพรสเร็วกว่า ดุกว่าสเปนซะด้วยซ้ำ
อีกอย่างคือ นักเตะหลายคนคงถึงจุดอิ่มตัว นอกจาก อันเดรส อิเนียสต้า ซึ่งเพิ่งประกาศเลิกเล่นทีมชาติไป ตัวอื่นอาจจะเลิกตาม หรือโดนปลดระวางก็น่าจะมีอีกพอสมควร โดยเฉพาะ ดาบิด ซิลบา, ยาโก้ อัสปาส รวมทั้ง ดีเอโก้ คอสต้า
ถึงเวลาที่สเปนต้องสร้างทีมใหม่ ดันคนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นแกนนำแทน และถ้าจะให้ดีก็ควรหาอาวุธใหม่ๆ มาเสริมเกมซะบ้าง
โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีใครกลัวสเปนอีกต่อไปแล้ว