ฟุตบอล ‘ยูโร 2018’ วันที่รากหญ้าโตเต็มวัย

ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 4 ทีมสุดท้าย กลายเป็นฟุตบอล ยูโร 2018 ไปในทันทีเมื่อ 4 ทีมที่เข้ารอบมาเป็นทีมจากยุโรปล้วนๆ ฝรั่งเศส, เบลเยียม, โครเอเชีย, อังกฤษ และถ้ามองภาพกว้างในรอบ 8 ทีม มีทีมจากยุโรปถึง 6 จาก 8 ทีม มีเพียง บราซิล และ อุรุกวัย ที่มาจากอเมริกาใต้ นอกจากนั้น 10 จาก 14 ทีมจากยุโรปผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้

สถิติทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ายุโรปมีนักฟุตบอลที่มีคุณภาพมากกว่าทวีปอื่นๆ เบื้องหลังของความโดดเด่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการแนวทางของ เลนนาร์ท โยฮันส์สัน อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปชาวสวีดิช ที่เดินหน้าให้ลีกใหญ่ในยุโรปมีการตั้งลีกเยาวชนขึ้นมาในหลายช่วงอายุ เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2004

สำหรับโครงสร้างบอลลีกเยาวชนในยุโรปเริ่มจากรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ระหว่าง 10-14 ปี และระหว่าง 15-21 ปี ซึ่ง 15-21 ปีจะต้องแบ่งออกเป็น 2 รุ่นอีกด้วย

Advertisement

อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานยูฟ่าคนปัจจุบันกล่าวว่า บางคนอาจจะมีคำถามว่า เมื่อมองว่าการพัฒนาฟุตบอลระดับเยาวชนในยุโรปมีประสิทธิภาพจริง ทำไม เยอรมนี, สเปน, โปรตุเกส ตกรอบไวในฟุตบอลโลก 2018 เนเธอร์แลนด์ และ อิตาลี ไม่ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ แต่ทีมอื่นๆ จากยุโรปก็มาแบบเหนือความคาดหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผนพัฒนาจากระดับเยาวชนนั้น ขยายวงกว้างไปทั่วยุโรปอย่างแท้จริง

อีกมุมหนึ่ง เมื่อยุโรปยิ่งใหญ่ในเวทีโลก แล้วชาติจากอเมริกาใต้หายหน้าหายตาไปเพราะอะไร?

บราซิลและอุรุกวัยตกรอบ 8 ทีม อาร์เจนตินา, โคลอมเบีย มาไกลได้แค่รอบ 16 ทีม ขณะที่ เปรู ตกรอบแรก ยิ่งไปกว่านั้นฟุตบอลโลก 3 ครั้งหลังสุด แชมป์อยู่กับทีมจากยุโรปล้วนๆ รวมถึงเวิลด์คัพหนนี้ด้วย ในระดับเยาวชน บราซิลเคยได้แชมป์ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี 3 จาก 4 สมัย ระหว่างปี 1997-2003 หลังจากนั้นก็ไม่มีชาติอเมริกาใต้ได้แชมป์อีกเลย เช่นเดียวกับฟุตบอลโลก รุ่นไม่เกิน 20 ปี บราซิลเป็นชาติสุดท้ายของอเมริกาใต้ที่เป็นแชมป์ และต้องย้อนไปในปี 2011 หลังจากนั้นเสร็จชาติยุโรปทั้งหมด

สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ได้มีการประชุมหารือถึงความตกต่ำของทีมฟุตบอลในทวีปตัวเอง และพบว่าขาดงบประมาณและสาธารณูปโภคในการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน จริงๆ แล้วเงินพอจะมี แต่ปัญหาใหญ่มาจากการคอร์รัปชั่นของผู้บริหาร

สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาเหนือ อเมริกากลางและแคริบเบียน(คอนคาเคฟ) มีทีมที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับยุโรปและละตินได้ เช่น เม็กซิโก หรือ สหรัฐอเมริกา แต่กลับไม่เคยไปได้ไกลกว่ารอบ 8 ทีม วิคตอร์ มอนตาเกลียนี่ ประธานคอนคาเคฟยอมรับว่า ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา สมาพันธ์แทบไม่เคยทำอะไรเพื่อช่วยให้ทีมจากคอนคาเคฟออกไปสู้รบปรบมือกับทีมระดับโลกในทวีปอื่นๆ เลย

ยุโรปจึงกลายเป็นแม่แบบที่ทั่วโลกจะต้องมาคอยสังเกตการณ์ว่าทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นทวีปมหาอำนาจในโลกลูกหนังได้ โดยเฉพาะ สปอร์ติ้ง ลิสบอน จากโปรตุเกส ที่ไม่ใช่สโมสรระดับท็อป 5 ของยุโรป แต่อคาเดมีของสปอร์ติ้ง ลิสบอน ปั้นนักเตะที่ได้เล่นฟุตบอลโลกหนนี้ถึง 13 คน หรือ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ที่มีนักเตะในทีมหลงเหลืออยู่ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายมากที่สุด รวม 9 คน

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ 5 ลีกใหญ่ของยุโรปเป็นการแข่งขันที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก รวมทั้งยังเป็นที่รวบรวมนักเตะชั้นยอดที่เข้ารอบรองชนะเลิศ เวิลด์คัพ 2018 มากที่สุดด้วย นักเตะ 92 คน ในรอบนี้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 40 คน, ลาลีก้า สเปนและลีกเอิง ฝรั่งเศส ลีกละ 12 คน, บุนเดสลีก้า เยอรมนี 9 คน และกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี 8 คน รวมแล้ว 81 คน

ความสำเร็จของทีมชาติอังกฤษยุคนี้ไม่ใช่แค่จากทีมชุดใหญ่ เพราะทีมเยาวชนก็ทยอยคว้าแชมป์กันแล้ว ทั้งฟุตบอลโลก ทั้งรุ่น 17 ปี และ 20 ปี หนล่าสุด อังกฤษได้ไปครองทั้งหมด ซึ่งมาจากการที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ(เอฟเอ) ได้ตั้งศูนย์เซ้นต์ จอร์จ ปาร์ก เป็นสถานที่ศึกษา วิเคราะห์ และวางแผนให้ฟุตบอลทีมชาติทุกชุด และเห็นได้ชัดว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

โครเอเชียก็มีนักเตะที่อยู่ในยุคโกลเด้น เจเนอเรชั่น ขณะที่ฝรั่งเศสมีซุปเปอร์สตาร์อายุน้อยหลายคน ที่เจิดจรัสจากลีกภายในประเทศ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

ความงอกงามของกีฬาเหมือนการปลูกต้นไม้ ต้องใช้เวลา และความเอาใจใส่ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ก็จะได้ชื่นชมความสำเร็จคุ้มการรอคอยเลยทีเดียว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image