‘สิงห์บลูส์’ ยุคใหม่สไตล์ ‘ซาร์รี่-บอล’ ปฏิวัติเกมบุกแหลกสู่บัลลังก์แชมป์

“สิงห์บลูส์” เชลซี ออกสตาร์ทคว้าชัย 4 นัดรวดในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งที่ 6 ในประวัติศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ 5 ครั้งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2004-2005 พร้อมท้ายที่สุดคว้าแชมป์มาครอง, ฤดูกาล 2005-2006 คว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกัน, ฤดูกาล 2009-2010 คว้าแชมป์สำเร็จอีกสมัย, ฤดูกาล 2010-2011 ได้รองแชมป์, ฤดูกาล 2014-2015 คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในฤดูกาล 2018-2019

ฤดูกาลนี้ เชลซี เปลี่ยนแปลงตัวกุนซือจากเดิม อันโตนิโอ คอนเต้ มาเป็น เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือชาวอิตาเลียน วัย 59 ปี โดยได้เซ็นสัญญาระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้นำสไตล์ “ซาร์รี่-บอล” เข้ามาปรับใช้กับทัพสิงห์บลูส์จนเริ่มเห็นภาพเชลซียุคใหม่ที่เล่นบอลในสไตล์ตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมกับเอนเตอร์เทนแฟนบอลให้สนุกสนานแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา…

สำหรับ ซาร์รี่ เริ่มต้นคุมทีม แอนเทลล่า เมื่อปี 1996 ต่อด้วย วัลเดม่า, เตโกเลโต้, ซานโซวิโน่, ซานจิโอวานเนเซ่ และเปสคาร่า เมื่อปี 2005 ก่อนไปอยู่กับ อเรซโซ่, อเวลลิโน่, เวโรน่า และเปรูจา แต่ไม่มีทีมไหนให้เขาคุมทีมได้เกิน 2 ปีเลย จากนั้นย้ายไปคุม อเลสซานเดรีย และซอร์เรนโต้ ช่วงสั้นๆ ก่อนมาสร้างชื่อในการคุม เอ็มโปลี เมื่อปี 2012 และย้ายมาคุม นาโปลี เมื่อปี 2015 ซึ่งช่วงเวลา 3 ปี เขาทำทีมนาโปลีให้เล่นเกมบุกได้ตื่นตาตื่นใจทีมหนึ่งในยุโรป พร้อมก้าวขึ้นมาเบียดแชมป์

Advertisement

ซาร์รี่ คุมทัพ นาโปลี ลงเล่นในศึกกัลโช่ ซีเรีย อา ทั้งหมด 114 นัด โดยพาทีมเก็บชัยชนะ 79 นัด เสมอ 22 นัด และแพ้เพียง 13 นัด ซึ่งนับเป็นสถิติอันยอดเยี่ยม อีกทั้งเขายังเป็นกุนซือที่ปั้นนักเตะให้พัฒนาฝีเท้าจนทำผลงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ดรีส เมอร์เท่นส์ ที่ทำไปถึง 56 ประตูในช่วง 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ รวมทั้ง จอร์จินโญ่ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีเชื้อสายบราซิเลียนที่ย้ายตามซาร์รี่มาร่วมงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

การมาขอ งซาร์รี่ และจอร์จินโญ่ ส่งผลให้เชลซีเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยซาร์รี่ยังได้มือขวาอย่าง จิอันฟรานโก้ โซล่า อดีตกองหน้าทีมเชลซีเข้ามาเป็นผู้ช่วย ทำให้ซาร์รี่ปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ จอร์จินโญ่ เข้ามากลายเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของทีมด้วยการคุมจังหวะเกม และมีการผ่านบอลมากที่สุดหลังผ่านเกมเตะ 4 นัดแรกด้วย

ขณะที่ผู้เล่นเชลซีรายอื่นแม้จะเสียนายด่านตัวหลักอย่าง ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเบลเยียมไปให้กับ รีล มาดริด ยักษ์ใหญ่ลาลีก้า สเปน แต่ก็ได้ เคปา อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารดาวรุ่งวัย 23 ปีชาวสเปนิช ที่ย้ายสลับขั้วเข้ามาก็ทำผลงานเฝ้าเสาเสียไปเพียง 3 ประตูเองเท่านั้น และสมราคาสถิติผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลก 80 ล้านยูโรอีกด้วย

Advertisement

ซาร์รี่ ปฎิวัติเชลซีให้เล่นด้วยการต่อบอลครองบอลเปิดเกมรุกแหลกทุกมิติ แตกต่างจากเชลซียุคคอนเต้ที่เล่นในระบบแผงหลัง 5 คน และใช้วิงแบ๊กเติมเกมสูง แต่ซาร์รี่ปรับมาใช้กองหลัง 4 คน ตามรูปแบบฟุตบอลสมัยใหม่ และเขาชุบชีวิต เดวิด ลุยซ์ ปราการหลังบราซิเลียน ให้กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีผิดหูผิดตาจากเมื่อฤดูกาลก่อน โดยปีนี้ลุยซ์ยืนคุมแนวรับร่วมกับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังเยอรมันได้อย่างเหนียวแน่น

ส่วนวิงแบ๊ก 2 ฝั่ง ซาร์รี่ เลือกใช้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า นักเตะสารพัดประโยนช์ยืนทางฝั่งขวา และ มาร์กอส อลอนโซ่ ยืนทางกราบซ้าย ซึ่งทั้งสองวิงแบ๊กเลือดกระทิงก็เค้นฟอร์มเก่งของตัวเองออกมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล รวมทั้ง มาร์กอส อลอนโซ่ ก็เติมเกมรุกได้อย่างดุดัน และยังพังประตูช่วยทีมให้อีกด้วย ซึ่งแผงในรับทุกคนเริ่มเข้าใจกับปรัชญาการคุมทีมสไตล์ “ซาร์รี่-บอล” ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน…

ขยับขึ้นมาในแดนกลางนำโดย จอร์จินโญ่ เป็นแกนหลัก โดยซาร์รี่ มอบหมายให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ขยับขึ้นมาเล่นสูงกว่าที่เคย และก็องเต้ก็ทำผลงานได้ไม่เลวเลยทีเดียวแม้ยังต้องปรับจูนเล็กน้อย ส่วนมิดฟิลด์อีกคนนั้น ซาร์รี่ ยังเปิดโอกาสให้หลายคนได้ลงไปทดสอบ ไม่ว่าจะเป็น รอสส์ บาร์คลี่ย์, รูเบน ลอฟตัส-ชีก รวมทั้ง มาเตโอ โควาซิช มิดฟิลด์ทีมชาติโครเอเชียที่ยืมตัวมาจาก รีล มาดริด

ในแนวรุกแน่นอนว่า ซาร์รี่ วางตัวของ เอเด็น อาซาร์ ดาวเตะซุปเปอร์สตาร์เบลเยียมเป็นเพลย์เมกเกอร์คอยสร้างสรรค์เกมรุกให้ตื่นตาตื่นใจ โดยตำแหน่งของอาซาร์จะถูกวางทางริมเส้นฝั่งซ้าย แต่เขาจะหาพื้นที่ว่าง และเคลื่อนตัวอิสระไปทั่วทุกพื้นที่ ส่วนตัวริมเส้นอีกคนยังเป็นการแย่งชิงตำแหน่งกันของ เปโดร ปีกชาวสเปนิช และ วิลเลี่ยน ปีกทีมชาติบราซิล รวมทั้งมีเป็นสอดแทรกอย่าง คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ดาวรุ่งวัย 17 ปี

แต่การบ้านโจทย์สำคัญที่ซาร์รี่ยังแก้ไม่ตกก็คือ กองหน้าตัวเป้า ซึ่งเจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าชาวสเปนิชที่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากเบอร์ 9 มาสวมเบอร์ 29 ตามลูกฝาแฝดที่เพิ่งลืมตามาดูโลกแล้วก็ยังเค้นฟอร์มทะลวงตาข่ายออกมาไม่เจอสักที ขณะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าดีกรีแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศสก็มีทีเด็ดในการเล่นลูกกลางอากาศ แต่ก็ยังมีการจบสกอร์ไม่เฉียบขาดเท่าไรนัก

อย่างไรก็ตาม เมาริซิโอ ซาร์รี่ เคยออกมาสัมภาษณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ขอใช้ระยะเวลา 3 เดือนในการปรับจูนทีมเชลซีให้มีความลงตัวมากกว่าเดิม หลังจากนั้นก็จะเริ่มได้เห็นทีมที่โชว์ผลงานออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งด้วยศักยภาพนักเตะที่มีเชื่อว่าจะทำให้เชลซีเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างมากแน่นอนในการแข่งขันฤดูกาลนี้

การออกสตาร์ทคว้าชัย 4 นัดรวดถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับ ซาร์รี่ กับเชลซี แต่เส้นทางยังเหลืออีกถึง 34 นัด และยังมีทีมคู่แข่งสำคัญอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รวมทั้งอีกหลายทีมที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาเบียดแย่งคว้าแชมป์ ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางที่เหลืออยู่จะเป็นโจทย์สำคัญสำหรับ ซาร์รี่ ในการรักษาฟอร์มเก่งยืนระยะไปจนถึงเส้นชัยในท้ายที่สุดให้ได้

ในอดีตที่ผ่านมา เมาริซิโอ ซาร์รี่ ผันตัวเองจากอาชีพนายธนาคารมาเป็นกุนซือทีมฟุตบอลจากความหลงใหล และค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ทำบอลสไตล์บุกตื่นเต้นเร้าใจตามแบบฉบับ “ซาร์รี่-บอล” แต่ย้อนกลับไปในการคุมทีมก่อนหน้านี้ 15 ทีม ตั้งแต่ปี 1996-2017 ซาร์รี่ยังไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์เลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ในปี 2018 นี้ “ซาร์รี่-บอล” จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ได้มีดีเพียงแค่บุกแหลกอย่างเดียว แต่มีดีพอกับการคว้าแชมป์แรกในรอบ 22 ปีในการคุมทีมของ “ซาร์รี่” อีกด้วย!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image