สกู๊ปพิเศษ : มุมสะท้อนจากตำนานจิ้งจอก ด้วยอาลัยรัก ‘เจ้าสัววิชัย’

การจากไปของ วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นข่าวสะเทือนอารมณ์และความรู้สึกของแฟนบอลจำนวนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเมืองเลสเตอร์ซึ่งต่างแสดงความคิดเห็นผ่านบทสัมภาษณ์และโซเชียลมีเดียคล้ายคลึงกันว่า เป็นความรู้สึกที่ราวกับสูญเสียคนในครอบครัว

ชาวเมืองเลสเตอร์จำนวนมากรู้สึกเหมือนๆ กันว่า พวกเขาเป็น “หนี้” เจ้าสัววิชัย ไม่ใช่แค่ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16 ซึ่งราวกับเทพนิยาย แต่ยังช่วยเปลี่ยนแปลงชุมชนและสังคมเลสเตอร์ให้มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงยิ่งขึ้นราวกับ “ครอบครัว” ขนาดใหญ่

หนึ่งในแง่มุมสะท้อนที่ลึกซึ้งมากที่สุดมาจากคำบอกเล่าของ อัลลัน เบิร์ชนอลล์ หรือที่แฟนๆ หลายคนเรียกว่า “เบิร์ช” อดีตกองกลางทีมสุนัขจิ้งจอกวัย 73 ปี ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่ทูตให้กับสโมสร

Advertisement

เบิร์ชเล่าว่า ย้อนไปในปี 2010 ตอนที่ มิลาน มันดาริช นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายเซอร์เบียตัดสินใจขายหุ้นสโมสรให้เจ้าสัววิชัย ตนและคนอื่นๆ ต่างก็คิดเหมือนกันว่า นี่เป็นแค่การเปลี่ยนมือเจ้าของจากเศรษฐีคนหนึ่งไปยังเศรษฐีอีกคน

“แต่ผมคิดผิดถนัด”

เบิร์ชบอกว่า ตั้งแต่วันนั้น สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ในมือเจ้าสัววิชัยก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง กระทั่งถึงจุดสูงสุดอย่างตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16

Advertisement
อัลลัน เบิร์ชนอลล์

ทูตสโมสรวัย 73 ปี เล่าว่า ตอนที่เจ้าสัวและครอบครัวเข้ามานั่งเก้าอี้บริหาร เลสเตอร์อยู่ในภาวะหนี้ท่วมหัว ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อนมสักลัง ถ้าเจ้าหน้าที่คนไหนอยากชงชาก็ต้องซื้อนมไปเอง เรื่องชื่อเสียงของทีมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นคนนอกหรือคนไม่คุ้นเคย จะอ่านชื่อทีมว่า “เล-เชส-เตอร์” ไม่ใช่ “เลสเตอร์” เพราะไม่รู้ว่าจะออกเสียง Leicester อย่างไร

แต่มาตอนนี้ทุกอย่างต่างไปแล้ว สโมสรขยับจากลีกแชมเปี้ยนชิพไปอยู่พรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ จำนวนเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 เท่า สนามซ้อมขยายพื้นที่ไปหลายเท่าตัว ภายในสนามเหย้าก็ปรับปรุงใหม่แทบทุกส่วน สโมสรสามารถพูดเรื่องงบประมาณซื้อนักเตะคนละ 30 ล้านปอนด์ได้สบายๆ

…และไม่มีใครสับสนกับการเรียกชื่อ “เลสเตอร์ ซิตี้” อีกต่อไป

เบิร์ชบอกว่า เจ้าของใหม่หลายคนพอเข้าไปเทกโอเวอร์ทีมแล้ว มักจะคิดเปลี่ยนสีประจำสโมสรหรือตราสโมสร แต่เจ้าสัววิชัยไม่ทำอย่างนั้น สิ่งที่เขาเปลี่ยนคือ “วิธีคิด” ของผู้เกี่ยวข้องกับสโมสรทุกคน ให้คิดว่าการเป็นที่สองยังดีไม่พอ

การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในทีมเช่นการทาสีอุโมงค์ทางเดินให้เป็นสีน้ำเงินเข้ม สีประจำสโมสร ช่วยสร้างความฮึกเหิมและความรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้

เบิร์ชบอกว่า ตนรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่เจ้าสัววิชัยพาทีมไปจนถึงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบพลิกความคาดหมาย เพราะเจ้าของสโมสรชาวไทยช่วยให้ตนและคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ที่จะฝัน และเชื่อว่าทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้

แต่สิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกว่าติดหนี้เจ้าสัวไม่แพ้กันคือเรื่องราวส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อต้นปี 2017
ในเดือนมกราคมปีนั้น เบิร์ชมีอาการหัวใจวายเฉียบพลันขณะร่วมพิธีฉลองแชมป์ลีก โชคดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายแพทย์ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนที่มาร่วมฉลองเข้าไปช่วยใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจกู้ชีวิตเขาได้ทันท่วงที

ช่วงที่พักรักษาตัวและต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวกับสโมสร เจ้าสัวได้ส่งแม่บ้านไปช่วยดูแลทำความสะอาดบ้านพักของเบิร์ช และยังคงทำหน้าที่ดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน

เจ้าสัวยังรับลูกชายของเบิร์ชเข้าเป็นพนักงานของสโมสรเลสเตอร์เพื่อให้ทำหน้าที่ขับรถพาตนไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เบิร์ชยังได้ทำหน้าที่ทูตสโมสรได้

เบิร์ชบอกว่า การกระทำของเจ้าสัวช่วยให้ตนผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่เป็นกังวลกับงาน และก็ไม่ได้ห้ามทำงาน เขาปฏิบัติกับตนเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัว ทำให้ตนสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ยังมีสิ่งละอันพันละน้อยอีกมากมายที่เจ้าสัวแสดงออกถึงความมีน้ำใจ และปฏิบัติกับชุมชนเลสเตอร์ไม่ใช่แค่ในฐานะเจ้าของทีมฟุตบอลที่เข้าไปเพื่อทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว

เจ้าสัวบอกให้สร้างสวนเล็กๆ ภายในสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ตามคำแนะนำของเบิร์ช เพื่อเป็นสถานที่ที่แฟนบอลจะได้ร่วมแสดงความอาลัยถึงบุคคลอันเป็นที่รักผู้ล่วงลับ และสั่งให้เจ้าหน้าที่วางวิสกี้ขวดหนึ่งกับแก้วจำนวนมากเวลามีเกมเตะ สำหรับแฟนๆ ที่ต้องการจะยกดื่มเพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับ

ด้วยความเคารพที่เจ้าสัวมีต่อเมืองและสโมสร ทำให้ชาวเมืองโศกเศร้าอย่างที่สุดเมื่อต้องสูญเสียเจ้าสัววิชัยไปจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ยิ่งเรื่องราวของเขาแพร่ขยายออกไป แฟนบอลจากต่างเมืองต่างก็ทยอยกันเดินทางไปยังสนามคิงเพาเวอร์เพื่อวางดอกไม้ เสื้อ หรือผ้าพันคอเพื่อแสดงความอาลัย

แม้แต่แฟนบอลของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ และ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่ว่ากันว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมาของเลสเตอร์ ซิตี้ ชนิดเข้าสายเลือด

“แฟนบอลของเราเองและสโมสรอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันเพื่อแสดงความเคารพ แม้แต่คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลก็อยากจะเดินทางมามีส่วนร่วมด้วย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของเจ้าสัววิชัยที่มีต่อวงการฟุตบอลและสังคมโดยรวม”

“ผมอยู่กับสโมสรนี้มาเกือบ 45 ปี แต่ไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน” เบิร์ชกล่าวสรุปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image