การตกรอบรองชนะเลิศศึกชิงเจ้าลูกหนังอาเซียนของทีมฟุตบอล “ช้างศึก” ในรายการ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018” ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่ไม่น่าให้อภัย
ทีมช้างศึก โอ้อวดตัวเองอยู่เสมอว่า พวกเขาคือ เบอร์ 1 อาเซียนตัวจริงเสียงจริงโดยไม่สนอันดับโลก (แร้งกิ้ง) ของฟีฟ่า ผยองลำพองตัวเองมาตลอด แต่การร่วงรอบรองชนะเลิศด้วยน้ำมือทีมคลาสล่างอย่าง “เสือเหลือง” มาเลเซีย มันก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า “ช้างศึก” ไม่ได้เป็นที่ 1 ของอาเซียน
ที่ผ่านมาแค่ “หลอกตัวเอง” เท่านั้น…
ออกตัวไว้ก่อนว่า ที่จั่วหัวมาแรงเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่รักทีมฟุตบอลไทย ผมก็เชียร์ ผมก็รักฟุตบอลไทย แต่ผมรับไม่ได้ที่ “ช้างศึก” โดน มาเลเซีย บุกเอาเท้ามาลูบหน้าถึงราชมังคลากีฬาสถาน
ดังนั้นพวกแฟนบอล “โลกสวย” กรุณายุติการอ่านตั้งแต่บรรทัดนี้…!!!
ก่อนไปแข่งทุกองคาพยพของทีมฟุตบอลไทยคราวนี้ตั้งแต่ระดับสูงสุดอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ทีมบริหาร สต๊าฟโค้ชที่นำโดย มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซิร์บ, นักเตะทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า ภารกิจป้องกันแชมป์ “ซูซูกิ คัพ” เป็นภารกิจสุดกดดันและท้าทายสุดๆ แม้จะไม่ใช่งานที่ยากมาก แต่ก็มีโอกาสสำเร็จสูง ดังนั้นการเดิมพันคราวนี้จึง “เสี่ยง” ต่อความมั่นคงในเก้าอี้ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร จนถึงหัวหน้าสต๊าฟโค้ช
ก่อนเปิดฉากทัวร์นาเมนต์นี้ ว่ากันว่า คู่ชิงชนะเลิศ คงหนีไม่พ้น ทีมชาติไทย กับ เวียดนาม เพราะดูจะสมน้ำสมเนื้อกันที่สุด
“ช้างศึก” เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์อย่างสวยหรู นัดแรกไล่ตบเด็กทารกอย่าง ติมอร์เลสเต 7-0 นัดที่สอง ชนะ อินโดนีเซีย 4-2 นัดที่สาม บุกไปเสมอ ฟิลิปปินส์ 1-1 นัดที่สี่ เฝ้าบ้านชนะ สิงคโปร์ 3-0
4 นัดแรกของทีมช้างศึก แทบจะไม่มีอะไรผิดพลาดให้เห็นมากนัก แนวรุกสุดโหดยิงไป 15 ประตู เกมรับก็เหนียวแน่นเสียไป 3 ประตู มีเรื่องเดียวที่ทำให้น่าหงุดหงิดคือ ความปอดแหกของนักเตะไทยในนัดบุกไปโดนฟิลิปปินส์ตีเสมอ 1-1 เท่านั้น
มาถึงรอบรองชนะเลิศ นัดแรก “ช้างศึก” บุกไปยันเสมอ มาเลเซีย ที่บูกิต จาลิล กรุงเคแอล แบบไร้สกอร์ กุมความได้เปรียบกลับมาเล่นในบ้าน ในรอบรองชนะเลิศนัดที่ 2
ทีมช้างศึก ได้เล่นในราชมังคลากีฬาสถาน ท่ามกลางกองเชียร์คนที่ 12 กว่า 45,000 คนเต็มความจุ แถมเป็นการลงเล่นใน “วันชาติไทย” หรือตรงกันวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม แทนที่ทุกคนจะเดินหน้าฆ่ามัน ไล่บดไล่บี้ วิ่งกันชนิด “ลืมตาย” แต่อย่างที่ทุกคนเห็น เรากลับเดินเล่น ขาดแรงกระตุ้น เล่นแบบกล้าๆ กลัวๆ ทรงบอลขี้เหร่ ไม่แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นใดๆ ออกมาทั้งที่เจอกับทีมในอาเซียน
แล้วเราชอบคุยว่าเราต้องก้าวข้ามระดับอาเซียนไปถึงระดับเอเชียเพื่อตั๋วฟุตบอลโลก…
แค่ระดับอาเซียนเรายังสะดุดล้มตีลังกาแบบไม่เป็นท่า แล้วจะไปมองถึงระดับเอเชียที่มันไกลเกินจริง
ความผิดพลาดของทีม “ช้างศึก” ของ มิโลวาน ราเยวัช เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ขออนุญาตชำแหละให้เห็นภาพเป็นข้อๆ ดังนี้
1.การทะนงตัวคิดว่าเหนือชั้นกว่าเพื่อนอาเซียนด้วยการไม่เรียก 4 จตุรเทพอย่าง “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ มาร่วมทีม เข้าใจว่ารอบแรกในซูซูกิ คัพ ที่เราเจอทีมไม่หนักมากเราคงไม่ต้องใช้บริการ 4 จตุรเทพ แต่รอบรองชนะเลิศ กับรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งไทม์ไลน์ทั้ง ชนาธิป, ธีรศิลป์, ธีราทร และกวินทร์ จบภารกิจช่วยต้นสังกัดในศึก “เจลีก” พอดี ทำไมไม่ใส่ชื่อเอาไว้
2. แท็คติค “น้าวัชสไตล์” ไม่เหมาะกับทัวร์นาเมนต์ที่บอลเราต้อง “ชนะสถานเดียว” เพราะพี่แก วางแท็คติคจอดรถบัสคล้ายทีมดังแห่งเกาะอังกฤษทั้งที่เล่นในบ้าน เจอทีมในอาเซียน เรียกได้ว่า แท็คติคโคตร “อ่อนหัด” จอดรถบัสทำไม นี่เราเล่นในบ้าน เจอทีมในอาเซียนนะ เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า เดินหน้าฆ่ามันสิเฮ้ย… ไม่ใช่เจอทีมอย่างเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ซะเมื่อไหร่ มาเล่นรถบัส ทำไม???
3. ทรงบอลไม่สวยงาม มีสักนัดไหมที่เราเล่นกันได้สวยงาม ต่อบอลเรียดตามช่อง ครองบอลโชว์ความเหนือให้อาเซียนมันดู คำตอบคือ ไม่เห็น เรามี “แคมป์” สรรวัชญ์เดชมิตร กับ “นิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่พอเชิดหน้าชูตา ขับเคลื่อนแดนกลาง ตัวอื่นไม่ทราบว่าจะโยนกันทำไม บอลเรียดที่เคยเล่นในสมัยกุนซือคนเก่าที่ใช้สไตล์ “ติกี้ ตาก้า” หายไปไหน ขนาดตอนเสมอ 2-2 เราต้องการชัยชนะเท่านั้นเพื่อเข้ารอบชิงฯ เรายังปล่อยให้เสือเหลืองครองบอล ต่อบอล และมีลุ้นประตูแซงนำไทยอีกหลายดอก
4. เราไปฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ “กอล์ฟ” อดิศักดิ์ ไกรษร กองหน้าดาวซัลโว ของทีมเพียงคนเดียว ปล่อยให้ “กอล์ฟ” แบกแดนหน้ามากไป แล้วไอ้จังหวะจุดโทษชี้เป็นชี้ตาย จะไปโทษกอล์ฟคนเดียวก็ไม่ได้เพราะชั่วโมงนั้นเป็นใครใจก็ฝ่อเพราะแบกความหวังของคนทั้งประเทศไว้ ดังนั้นต้องเลือกคน “ใจใหญ่” อย่าง “นิว” ฐิติพันธ์ หรืออาศัยความนิ่ง และเยือกเย็นของ “แคมป์” สรรวัชญ์ ต่างหาก ตรงนี้คือ ความผิดพลาดของ ราเยวัช ผู้ยัดเยียดคราบน้ำตาให้คนไทย
5. การจัดทัพ 11 คนแรก ไม่เข้าใจว่า จะใส่ชื่อ มงคล ทศไกร ลงไปชุดแรกเพื่อ ? มงคล ไม่มีประโยชน์ นอกจากลูกโหม่งตั้งย้อนกลับไปให้นิวโหม่งประตูออกนำมาเลย์ แต่จากนั้นทั้งเกม จับบอลพลาด ลากเลี้ยงกินตัวไม่ผ่าน เสียบอลง่าย ผิดพลาดตลอดเกม
6. แดนกลางไม่มีผู้เล่นรวดเร็ว เลี้ยงกระชากกินตัวผู้เล่นมาเลเซีย ลองนึกดูหากมี “ชนาธิป” มาเติมเต็มแดนกลาง ช้างศึกชุดนี้จะมีเขี้ยวเล็บเพิ่้ม ทำให้เกมแดนกลางของไทยนัดเจอมาเลเซีย ไม่วูบวาบต่อกันไม่ติด
7. นักเตะไทยแบกรับความกดดันไม่ได้ เป็นเรื่องของจิตใจไม่แกร่งพอ ไม่นิ่งพอ เมื่อเจอสถานการณ์กดดัน เห็นได้ชัดว่าเต้นกันทั้งทีม ไม่มีความนิ่ง แถมยังเล่นกันติดประมาท ติดแอ๊ค ไม่รู้จะโชว์สาวที่ไหน พวกน้องๆ มีธงไตรรงค์บนหน้าอกและเล่นใน “วันชาติไทย” ทุกคนต้องวิ่งกันชนิด “ลืมตาย” ไม่ใช่หรือ ความฮึกเหิมหายไปไหนกันหมด
8. ขนาดจะเล่นเกมรับ ก็รับไม่สุด แถมรับลึก จนเสียลูกตีเสมอจากการซัดไกลของผู้เล่นมาเลเซีย จะเล่นเกมรุกก็รุกไม่สุด รุกเป็นพักๆ พอหอมปากหอมคอ เล่นแบบกล้าๆ กลัวๆ
9. สะท้อนให้เห็นว่า ทีมช้างศึกยังไม่มืออาชีพเพราะไม่มีการบริหารจัดการเรื่องการฝึกจิตใจนักเตะเลย ไม่เช่นนั้นทุกคนคงไม่ตื่นเต้น เกร็ง และเราคงไปชิงกับเวียดนามตามสูตรที่คาดกันไว้แล้ว นักเตะไม่โฟกัสที่เกม ไม่มีสมาธิกับเกม จิตใจเตลิดทั้งที่เล่นในบ้าน
10. เรายังไม่มีกองหน้าชนิด “โป้งปิดบัญชี” เหมือนเดิมทั้งเป็นปัญหาอมตะที่พูดกันมาข้ามปีข้ามชาติ แต่เราก็ยังผลิตไม่ได้สักที
ใครจะมองอย่างไรไม่ทราบ แต่สำหรับผมคิดว่า ความล้มเหลวใน “ซูซูกิ คัพ 2018” เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ จะหาว่าใจแคบก็ได้นะ แต่ผมยังยืนยันว่า มิโลวาน ราเยวัช ไม่เหมาะกับทีมฟุตบอลไทย
ผมไม่ชอบวิธีการพอบอลแพ้ พอบอลล้มเหลวแล้ว “เปลี่ยนโค้ช” แต่ถ้าเราเลือกโค้ชให้เหมาะกับสไตล์การเล่นฟุตบอลไทย สรีระนักเตะไทยตั้งแต่แรก เราคงไม่ต้องมาพูดกันถึงกรณี “ไล่โค้ช”
แต่การแสดงสปิริตต่างหาก ที่อยากเห็นจากโค้ชมืออาชีพ…!!!
นที ศรีพารัตน์