‘สมยศ’ อ้อนรัฐสร้างสนามมาตรฐานรับจัดศึก ‘เวิลด์คัพ’ ชง 6 สังเวียนให้ ‘เอเอฟซี’ เคาะจัดชิงแชมป์เอเชียยู-23

นายวิษณุ ไล่ชะพิษ รองผู้ว่าการฝ่ายส่งเสริมกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นประธานในประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และนายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ที่เดินทางมาตรวจสนามในกรณีที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รายการ “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ 2020” ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ กกท. หัวหมาก เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์

สำหรับฟุตบอล “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ 2020” ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในช่วงเดือนมกราคม ปี 2563 ซึ่งเป็นรายการคัดเลือกหา 3 ชาติ ผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันฟุตบอล กีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยถือเป็นรายการที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับนานาชาติในทวีปเอเชีย และจะจัดการแข่งขันในระดับเดียวกับรายการเอเชี่ยนคัพ

ที่ประชุมแจ้งเรื่องการตรวจสอบสถานที่เเข่งขันเเละสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการนำเสนอรูปแบบข้อตกลง โดยเจ้าหน้าที่เอเอฟซีระบุว่า รายการนี้ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่รองลงมาจากเอเชี่ยนคัพ ซึ่งมาตฐานการจัดการเเข่งขันต้องอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยมาตรฐานสนามแข่งขันเบื้องต้นคือ 1.อัฒจันทร์ไม่ต่ำกว่า 10,000 ที่นั่ง 2.ไฟส่องสว่างไม่ต่ำกว่า 1,800 ลักซ์ 3.ห้องมีเดียสำหรับนักข่าวไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง ทขณะที่ทางสมาคมฟุตบอลฯ ได้เสนอสนามเเข่งขันรวมทั้งสิ้น 6 สนาม ประกอบด้วย สนามราชมังคลากีฬาสถาน, เอสซีจี สเตเดียม, ลีโอ สเตเดียม, สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา, สนามกีฬาสมโภช จ.เชียงใหม่ 700 ปี และสนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

พล.ต.อ.ดร.สมยศกล่าวว่า ไทยต้องแข่งขันกับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนได้เป็นเจ้าภาพจัดศึกเอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ 2020 ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งต่อวงการกีฬาของประเทศ เเลสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะพยายามดึงกิจกรรมของเอเอฟซี และสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ให้เข้ามาเเข่งขันในประเทศ เพื่อโปรโมตภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งหากจัดรายการนี้ออกมาดีได้จะทำให้เรามีโอการจัดรายการใหญ่อื่นๆ ในอนาคตอย่างเช่น ฟุตบอลโลก หรือโอลิมปิกเกมส์

Advertisement

บิ๊กอ๊อดกล่าวอีกว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะจัดรายการนี้ไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก กกท. รวมถึงรัฐบาลด้วย เพราะถือเป็นรายการใหญ่อันดับ 2 ของเอเชีย ส่วนในอนาคตเท่าที่มีโอกาสพูดคุยกับ จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า มีนโยบายที่ฟุตบอลโลกอาจเวียนไปจัดในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นเราจะต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพราะฟีฟ่าต้องการให้โอกาสกับประเทศที่มีการพัฒนาด้านกีฬาน้อยได้มีโอกาสจัดการเเข่งขันบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คงจะต้องขอความร่วมมือจาก กกท. และภาครัฐ เพื่อให้ช่วยสร้างสนามกีฬาฟุตบอลที่มีความพร้อมตามมาตรฐาน เพื่อเตรียมเอาไว้สำหรับในอนาคตที่มีโอกาสใช้ในการรองรับจัดฟุตบอลโลกได้

“ไทยเรามีสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการเเข่งขันมากกว่าชาติอื่นในอาเซียน ซึ่งหลังจากฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ และฟุตบอลโลก 2026 ที่แคนาดา, เม็กซิโก, สหรัฐ 3 ชาติจัดร่วมกันแล้ว ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย จะวนมาจัดในทวีปเอเชียอีกครั้งในปี 2030 ดังนั้น ไทยเราก็ควรที่จะเตรียมความพร้อมเรื่องสนามแข่งขันเอาไว้ให้พร้อมรองรับ ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมเราก็อาจจะเสียโอกาสตรงนี้ไป และปล่อยให้จีน และญี่ปุ่น ที่เขาได้เตรียมความพร้อมมาแย่งชิงโอกาสครั้งนี้ไป” บิ๊กอ๊อดกล่าว

ด้าน นายพาทิศกล่าวว่า นับเป็นโอกาสดีที่ไทยได้รับเลือกให้จัดศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เเม้จะยังไม่เป็นทางการเพราะต้องรอตรวจสอบสนามก่อน เเต่อนาคตไทยเราคงจะต้องพัฒนาสนามกีฬาภายในประเทศให้พร้อมกับกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่ทางเอเอฟซีจะปรับมาตรฐานให้สูงขึ้นเเน่นอน ซึ่งเราต้องคว้าโอกาสนี้มาให้ได้เพื่อพัฒนาวงการกีฬาของประเทศต่อไป

Advertisement

จากนั้นในช่วงบ่ายคณะเจ้าหน้าที่จากเอเอฟซีได้เดินทางเข้าตรวจความพร้อมของสนามราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนที่จะใช้ในการแข่งขันในศึกเอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ 2020

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image