หลังม่านความสำเร็จ ‘บาส-ปอป้อ’ จารึกประวัติศาสตร์

สกู๊ปพิเศษ : หลังม่านความสำเร็จ ‘บาส-ปอป้อ’ จารึกประวัติศาสตร์

 

 

มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในวงการแบดมินตันของไทย เมื่อการแข่งขันแบดมินตัน 3 รายการใหญ่ในไทยที่ผ่านมา ฝ่าด่านไวรัสโควิด-19 แข่งขันเสร็จสิ้นประสบความสำเร็จไปด้วยดี

แต่ยังมีเรื่องที่ทำให้คนไทยยิ้มกว้างไปกว่านั้น คือ ความสำเร็จของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่เหมาแชมป์ประเภทคู่ผสม 3 ศึกใหญ่เรียบ ไม่ว่าจะเป็นศึกซูเปอร์ เวิลด์ทัวร์ 1000 รายการ “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น” และ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น” ปิดท้ายด้วย “เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020” เป็นการคว้าแชมป์ระดับ 1000 ครั้งแรกของทั้งคู่ และเป็นหนแรกของนักตบขนไก่ไทยได้แชมป์ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ อีกด้วย

Advertisement

ความสำเร็จของบาส-ปอป้อไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะพาไปดูหลังฉากการทำงานของทีม “เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมตัวช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่ไม่มีการแข่งขัน

 

 

 

“โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอน บอกเล่าถึงการทำงานว่า ช่วงที่แบดมินตันแข่งขันไม่ได้เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมระยะเวลา 9 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดในการพัฒนาให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬากับนักกีฬาเพื่อนำไปต่อยอด ให้เค้ารู้และเข้าใจไปกับเรา มีการศึกษาแนวทางการเล่นของคู่ต่อสู้ จำลองสถานการณ์เกมเพื่อลบจุดอ่อนและอัพเกรดจุดแข็ง ถือว่าเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาใช้ไปอย่างคุ้มค่ามาก เพราะในช่วงเวลาปกติต้องออกทัวร์ตลอด ไม่มีเวลาทำตรงนี้

“ทั้งสองคนมีพัฒนาการที่ดีมากๆ ทั้งในเรื่องของร่างกายและเทคนิค เมื่อร่างกายดีก็สามารถควบคุมสมรรถนะในการเรื่องเทคนิคและทักษะได้ดี ก่อนแข่งขันตั้งเป้าอยู่แล้วว่าจะต้องคว้าให้ได้ทั้ง 3 แชมป์ แม้ว่าตอนนั้นทีมจีนและญี่ปุ่นยังไม่ถอนตัวก็ตาม เพราะการพัฒนาขึ้นมาของบาสกับปอป้อ”

จุดแข็งอีกอย่างที่โค้ชโอมชื่นชมคู่หูนักตบขนไก่ คือ ระเบียบวินัย ทั้งคู่รู้ดีว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร และมีการแลกเปลี่ยนแนวทางกับโค้ชและทีมงานแบบเปิดเผย และหลังการฝึกซ้อมจะให้นักกีฬาทุกคนประเมินตัวเองในแต่ละวัน ประเมินโค้ชและทีมงาน เพื่อให้รู้ถึงจุดบกพร่องที่จะเอาไปแก้ไขในวันถัดไป ซึ่งโค้ชเองก็จะประเมินนักกีฬาเช่นกัน จึงทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพอย่างมาก

 

 

 

ด้าน ศ.ดร.เจริญ กระบวนรัตน์ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์การกีฬา เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ กล่าวว่า ช่วง 9 เดือนถือเป็นโอกาสทอง เราทำงานกันอย่างหนัก มีทั้งภาคทฤษฎี ปฏิบัติ และเรื่องสภาพจิตใจ สิ่งสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จ คือ ระเบียบวินัย การทำทุกอย่างตามโปรแกรมที่วางไว้อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้การปรับเรื่องการใช้พลังงานในการเล่น เป็นสิ่งที่นักกีฬาต้องได้รับการเรียนรู้. ..และเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ฟื้นสภาพร่างกายได้เร็วและประสบความสำเร็จ แม้จะแข่งขันเกือบทุกวัน และเล่น 3 เกมเกือบทุกแมตช์ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีอาการล้าให้เห็น

ศ.ดร.เจริญกล่าวอีกว่า การซ้อมของเอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ จะไม่เน้นไปที่เวลาในการซ้อมที่ต้องนานหรือเยอะกว่าคนอื่น แต่เน้นที่คุณภาพและวัตถุประสงค์ของการฝึกซ้อมแต่ละครั้งเป็นหลักว่าตอบโจทย์และเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่ โดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงสมรรถภาพทางกลไกของร่างกายกับความสมดุล

ในการฝึกซ้อม ที่สำคัญจะต้องมีรูปแบบวิธีการฝึกซ้อมที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่ไปเอารูปแบบการซ้อมของคนอื่นมาใช้กับนักกีฬา และที่สำคัญต้องพัฒนาทักษะการคิด วิธีคิดที่มีเหตุผลและอยู่บนความเป็นจริง.. เช่น.ถ้าป้อ/บาส…อยากจะชนะหรือเป็นแชมป์โลกหรือเอาชนะคู่ปรับ จะต้องทำอย่างไร และที่ผ่านมาเราแพ้เขาเพราะอะไร เป็นต้น เพราะถ้าเราแบบเดิมๆหรือลอกเลียนคนอื่นมาซ้อมเราก็คงไม่มีทางที่จะเอาชนะได้

“เรื่องสำคัญที่ผมสอนนักกีฬาทุกคนอยู่เสมอ คือ เรื่องสมาธิและการควบคุมสภาพจิตใจซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราไม่เคยสร้างความกดดันด้วยการคาดหวังกับพวกเขาว่าต้องชนะ …เพราะนักกีฬาทุกคนจะมีความกดดันสะสมตั้งแต่ก่อนลงสนาม และจะกดดันมากยิ่งในระหว่างเกมการแข่งขัน และผลงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เราก้าวข้ามตรงนั้นมาได้แล้ว ทั้งคู่สอบผ่านเรื่องสภาพจิตใจตัวเองได้แบบเหลือเชื่อ และทั้งโอม บาส ปอป้อ ที่ทำหน้าที่ของแต่ละคนเป็นทีมเวิร์กที่ดีมาก”

 

 

 

วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ Enterprise Brand Management Office “เอสซีจี” กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมนักกีฬา รวมทั้งทีมผู้ฝึกสอน ทีมวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่เสียสละทุ่มเทในการพัฒนาด้านต่างๆ สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ความภาคภูมิใจและความสุขให้คนไทยทั้งประเทศได้

“เอสซีจีเชื่อมั่นในตัวนักกีฬาไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก สามารถยืนเป็นหนึ่งในระดับโลกได้ หากมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ฝึกซ้อมและมีวินัยในตัวเองก็ต้องเป็นมืออาชีพด้วย ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แนวทางวิทยาศาสตร์การกีฬาควบคู่กับทักษะแบดมินตันที่ทำมาถูกต้อง แต่ต้องพัฒนาต่อไป ทีมงานยังต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะชาติอื่นก็ต้องแก้ไขและพัฒนาเพื่อเอาชนะเรา รวมถึงต้องมีการพัฒนานักกีฬารุ่นใหม่ๆ ให้มีความต่อเนื่องด้วย”

 

 

ขณะที่บาสและปอป้อกล่าวว่าความสำเร็จครั้งนี้เป็นความประทับใจที่สุดในชีวิตนักแบดมินตัน และมีผลมาจากการทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา และฝันหลังจากนี้ คือ การไปลุ้นเหรียญในโอลิมปิกเกมส์ เชื่อว่าโตเกียว 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น

ขณะที่โค้ชโอมทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ผลงานครั้งนี้ยังเรียกว่าความสำเร็จไม่ได้ ยังมีงานอีกเยอะมากที่ต้องทำ มีเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยรู้ และจะต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น รวมทั้งสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ตามแนวทางที่ถูกต้องด้วย

จนถึงวันที่ไปถึงจุดนั้นได้แล้ว ถึงจะเรียกว่าความสำเร็จ ซึ่งก็ต้องทุ่มเทกันต่อไป…

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image