5 เหตุผลที่ ‘นาโปลี’ จะคว้า ‘สคูเด็ตโต้’ ที่รอคอยมา 30 ปี

 

5 เหตุผลที่ ‘นาโปลี’ จะคว้า ‘สคูเด็ตโต้’ ที่รอคอยมา 30 ปี

 

 

คงจะมองข้ามกันไปไม่ได้เสียแล้วสำหรับจ่าฝูง กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ณ เวลานี้อย่าง นาโปลี ทีมดังจากเมืองเนเปิลส์ ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ที่กำลังเดินหน้าทำผลงานระดับมาสเตอร์พีชไล่เก็บ 3 แต้มต่อเนื่องในลีกแบบไม่มีแผ่ว และยังไม่เสียท่าให้ทีมไหนตลอด 9 นัดที่ผ่านมา

Advertisement

จะเรียก นาโปลี เป็นทีมม้ามืดก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำซะเท่าไหร่ เพราะถ้าหากใครที่ติดตามฟุตบอลอิตาลีอยู่เป็นประจำก็พอจะเห็นการพัฒนา ในช่วง 10 ปีหลังมานี้พวกเขายกระดับตัวเองขึ้นมากลายเป็นทีมลุ้น สตูเด็ตโต้ อย่างเต็มตัว ไม่ใช่ทีมไม้ประดับที่เล่นแค่เอาตัวรอดในลีกเหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกทั้ง นาโปลี ยังการันตีตั๋วไปเล่นถ้วยยุโรปได้ในทุกๆ ปี

ลูกทีมของ ลูเซียโน่ สปัลเลตติ กำลังถูกจับตามองอย่างหนักว่าพวกเขาจะยืนระยะได้นานแค่ไหนกับฟอร์มอันร้อนแรงแบบนี้ โดยเฉพาะโอกาสที่จะก้าวเข้าไปเหยียบบัลลังก์แชมป์ลีกในซีซั่นนี้ เพราะนี่ก็เป็นระยะเวลากว่า 30 ปีมาแล้วที่ ทัพอัซซูร์ร่า ห่างหายจากกลิ่นอายของความสำเร็จให้สาวกนาโปเลตานี่ ได้ชื่มชมมานานพอสมควรแล้ว

 

Advertisement

 

ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เฉลิมฉลองแชมป์ สคูเด็ตโต้ สมัยที่ 2 ก็ต้องย้อนกลับไปในปี 1990 ที่นำทัพด้วยสตาร์ดังอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า, เฟร์นานโด เดอ นาโปลี, จิโอวานนี่ ฟรานชินี่, คาเรก้า และจานฟรังโก้ โซล่า ที่กำลังเป็นดาวรุ่งเนื้อหอมอยู่ในยุคสมัยนั้น

ช่วงเวลานั้นพวกเขาคือทีมที่แข็งแกร่ง ครบรสทุกตำแหน่งในสนาม พวกเขาสามารถต่อกรกับพวกขาใหญ่ในลีก อย่าง เอซี มิลาน ยูเวนตุส อินเตอร์ มิลาน และ ซามพ์โดเรีย ได้แบบสบายจนสามารถเข้าป้ายคว้า สคูเด็ตโต้ มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากปี 1987 อีกทั้งในช่วงเวลาใกล้ๆกันพวกเขายังไปคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก เป็นครั้งแรกของสโมสรในปี 1989 อีกด้วย

ไม่นานเหล่าผู้เล่นตัวหลักก็เริ่มพากันทยอยย้ายทีมกันออกไป ไม่เว้นแม้แต่กระทั้ง มาราโดน่า ที่เปรียบเสมือนกล่องดวงใจของทีม สภาพ นาโปลี ในเวลานั้นคือเริ่มดิ่งลงเหวแบบขั้นสุด ถึงขึ้นจมบ๊วยตกชั้นไปในฤดูกาล 97/98

ต่อด้วยการโดนพายุก้อนใหญ่โหมกระหน่ำใส่อย่างหนักหน่วง ด้วยการถูกฟ้องล้มลายจากปัญหาหนี้สินติดลบของทีมในปี 2004 จนถูกสั่งปรับร่วงไปอยู่ในระดับเซเรีย ซี หรือดิวิชั่น 3 ของอิตาลีอย่างน่าใจหาย โชคดีที่ในตอนนั้นพวกเขาได้ ออเรดิโอ เด ลอเรนติส ยื่นมือมาเข้ามาเทคโอเวอร์ช่วยกู้วิกฤตทีมบ้านเกิดของตัวเอง ให้รอดพ้นจากปัญหาจนสามารถพา นาโปลี ไต่กลับขึ้นมายืนอยู่บนสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในปี 2007

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของทีมเกิดขึ้นอีกครั้งในฤดูกาล 10/11 ด้วยความที่ เด ลอเรนติส เป็นคนประเภทที่ไม่ชอบรออะไรนานอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของความสำเร็จและถ้วยรางวัล เขาปรับทีมอีกครั้งด้วยการดึง วอลเตอร์ มาซซารี่ กุนซือมากประสบการณ์เข้ามากุมบังเหียนของ นาโปลี ต่อด้วยการกระชากดาวยิงตัวเก่งอย่าง เอดิสัน คาวานี่ มาสวมวิญญาณนักล่าให้กับทีม

ผลรับที่ได้คือการขึ้นไปจบถึงอันดับ 3 ของตารางพร้อมคว้าตั๋วไปลุยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จและถือกำเนิดทรีโอสามผสานอย่าง เอดิสัน คาวานี่, มาเร็ต ฮัมซิค และเอเซเกล ลาเวสซี่ ขึ้นมาเป็น 3 แนวรุกตัวอันตรายให้กับ นาโปลี จนเริ่มเป็นที่รู้จัก

หลังจากนั้น พวกเขาก็ยกระดับกลายเป็นทีมหัวแถวของ กัลโช่ เซเรีย อา ขึ้นมาแบบไม่ต้องสงสัย มีนักเตะและกุนซือฝีมือดีมากมายแวะวนเข้ามาอยู่กับทีมเป็นประจำ ขุมกำลังก็ดูแข็งแกร่งขึ้น แถมยังจบอันดับในพื้นที่โควตาฟุตบอลยุโรปได้แทบทุกปี ถึงแม้ ถ้วยสคูเด็ตโต้ จะเป็นเป้าหมายใหญ่ของ นาโปลี แต่มันก็ยังดูไกลเกินเอื้อมมือถึงอยู่ดี เพราะในช่วงเวลานั้น ยูเวนตุส คือทีมมหาอำนาจลูกหนังในแดนมักกะโรนี ไม่มีใครที่จะโค่นบัลลังก์แชมป์ได้แม้แต่ทีมเดียว

หากย้อนกลับไปให้เจ็บใจเล่น ฤดูกาล 17/18 พวกเขาไล่ขับเคี่ยวกับ ยูเวนตุส ได้อย่างเข้มข้นสูสีจนถึงช่วงโค้งสุดท้าย นาโปลี ครองตำแหน่งจ่าฝูงมาจนถึง 3 นัดสุดท้ายในลีกก่อนที่จะแพ้ภัยตัวเองสะดุดพลาดทั้ง 3 เกม ส่งให้ ม้าลาย แซงขึ้นไปคว้าแชมป์ลีก อย่างน่าเจ็บปวดด้วยการมีคะแนนตามหลังเพียง 4 แต้มเท่านั้น

ฤดูกาลนี้ก็เป็นอีกปีที่สาวกนาโปเลตานี่ เริ่มแอบเก็บไปคิดกันบ้างแล้วว่า นาโปลี จะแอบสร้างเซอร์ไพรส์คว่ำเซียนทุกสำนัก จนคว้าแชมป์ลีกมาครองได้หรือไม่หากดูจากฟอร์มในลีก 9 นัดที่ผ่านมาพวกเขายังไม่พลาดสะดุดแพ้ให้กับทีมไหนเลยแม้แต่นัดเดียว มาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่อาจจะส่งให้ นาโปลี เข้าใกล้กับคำว่าแชมป์มากที่สุดในฤดูกาลนี้

 

 

1.ระบบทีมเวิร์คและใจแลกใจของ สปัลเล็ตติ

 

 

ลูเซียโน่ สปัลเลตติ เข้ามารับงานต่อ เจนนาโร กัตตูโซ่ ในช่วงเดือนกรกฏาคม ก่อนเปิดฤดูกาลเพียงเดือนเศษๆ เท่านั้น แน่นอนเขามีเวลาเตรียมตัวพาลูกทีมลงฝึกซ้อม พูดคุยเกี่ยวกับแผนงานการทำทีมและแนวทางปรัชญาการทำทีมของเขาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่เกมนัดเปิดฤดูกาลจะเริ่มขึ้น

สปัลเล็ตติ ไม่ได้เปลี่ยนแบบแผนการเล่นของ นาโปลี เลยแม้แต่น้อยเขายังคงยึดระบบ 4-3-3 เหมือนที่ กัตตูโซ่ และ ซาร์รี่ ชอบใช้ในอดีต แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือจังหวะการเข้าทำที่หลากหลาย จังหวะเพรชซิ่งบีบแนวบนคู่แข่ง หรือจังหวะต่อบอลในเกมแดนกลางที่ชัวส์ขึ้นกว่าเดิม

สปัลเล็ตติ ทำให้ นาโปลี เล่นได้อย่างไหลลื่นเนียนตากว่ากุนซือที่ผ่านๆมาเยอะเลยทีเดียว เขาเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเกม และพร้อมสั่งให้ทุกคนในสนามปรับเปลี่ยนแก้เกมตามแทคติกตามที่สมองเขาสั่งการในทันที จากเดิม นาโปลี ไม่ใช่ทีมที่จะเดินหน้าไล่บีบคู่แข่งตั้งแต่แดนบนอยู่แล้ว แต่สำหรับ นาโปลี ในยุค สปัลเล็ตติ เราจะได้เห็นผู้เล่นทุกคนกระตือรือร้นที่จะวิ่งปรี่เข้าไปแย่งบอลจากคู่แข่งตั้งแต่หน้าประตู ไม่ปล่อยให้ทีมตรงข้ามได้มีโอกาสต่อบอลทำเกมขึ้นมาเลยทีเดียว

ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้สาวกนาโปเลตานี่ ตื่นเต้นและสนุกไปกับเกมทุกครั้งที่ได้เห็นทีมรักเปลี่ยนไปขนาดนี้ และมันก็ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้ามาสั่งให้นักเตะ นาโปลี เอาแรงมาวิ่งถวายหัวได้ขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ สปัลเล็ตติ ที่ใช้ใจแลกใจกับนักเตะและมีเป้าหมายเดียวกันคือการกลับมาครองความยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง

 

2.อาวุธแนวรุกครบมือ

 

กางรายชื่อผู้เล่นตัวรุกของ นาโปลี ฤดูกาลนี้ออกมา หลายคนมองว่าไม่ได้ดูน่าว้าวน่าตื่นเต้นซักเท่าไหร่ เพราะ นาโปลี ก็มีแต่นักเตะเกรดบีทั้งนั้น จะมีสตาร์ดังก็เพียงแค่ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ แค่นั้นที่หลายคนรู้จักเป็นส่วนใหญ่

แต่ที่มันไม่ได้ว้าวไม่ได้น่าตื่นเต้นนี่แหละ กลับทดแทนและเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้ง มัตเตโอ โปลิตาโน่, เฮอร์วิง โลซาโน่, ปิโอเตอร์ ซิลินสกี้, ฟาเบียน รูอิซ, ดรีส เมอร์เท่นต์ และ วิคเตอร์ โอซิมเฮน ทั้งหมดคือผู้เล่นแนวรุกของ นาโปลี ที่มีให้ สปัลเลตติ ได้เลือกใช้งานในแต่ละเกม

เรื่องเคมีเข้ากันไม่ต้องพูดถึง แค่มองตาก็รู้ใจแล้วสำหรับแนวรุกชุดนี้ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่เล่นด้วยกันมาแล้วเกือบ 2 ฤดูกาล และทั้งหมดอยู่ในชุดที่คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ในปี 2020 มาด้วยกัน ความสนิทสนมคุ้นชินนี่แหละที่ทำให้ไม่ต้องมีใครปรับตัว แม้แต่ วิคเตอร์ โอซิมเฮน ที่เป็นน้องใหม่เข้ามาหลังสุดก็ตามแต่
9 เกมที่ผ่านมาไม่ว่า สปัลเลตติ จะส่งใครลงมาแทนใครในสนาม ทุกคนก็สามารถเล่นร่วมกันได้อย่างเข้าขาและรู้ใจ พร้อมทั้งกระซวกประตูคู่แข่งไปแล้วถึง 22 ประตูในเวลานี้

 

3.ทุกคนในทีมสามารถหมุนเวียนกันลงเล่นได้

 

 

อาจจะแทนกันไม่ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นก็จริง แต่ขุมกำลังที่ นาโปลี มีอยู่ ณ ตอนนี้พวกเขาคือทีมที่สามารถหมุนเวียนนักเตะได้ทุกตำแหน่ง มองไปตั้งแต่ผู้รักษาประตู พวกเขามีทั้ง ดาวิด ออสปิน่า นายด่านจอมเก๋าประสบการณ์สูง และ อเล็กซ์ เมเร็ต ประตูดาวรุ่งดีกรีแชมป์ยูโร ให้เลือกใช้งาน

แผงหลังก็มีทั้ง คาลิดู คูลิบาลี่ ที่จับคู่กับ อาเมียร์ ราห์มานี ตัวรับสัญชาติโคโซโว ที่ฟอร์มกำลังดีวันดีคืนจนเบียด คอสตาส มาโนลาส กระเด็นสำรอง อีกทั้งยังมี ฆวน เฆซุส ที่เข้ามาเป็นอะไหล่ในแนวรับให้กับทีม ส่วนวิงแบ็คทั้งสองข้างมีทั้ง มาริโอ รุย และ จิโอวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ที่คอยวิ่งสอดขึ้นไปเติมเกมรุกซ้ายขวาได้อย่างสุดมัน โดยมี เควิน มัลกุยต์ และ ฟาอูซี่ กูลาม คอยสแตนด์บายรออยู่ข้างสนาม

แผงกลางที่ สปัลเลตติ เลือกใช้ยืนเป็นตัวหลักก็คือ ฟาเบียน รูอิซ ที่มีทีเด็ดจากลูกยิงไกล อังเดร แฟรงค์ แซมโบ อองกีซซา จอมสารพัดประโยชน์ที่ยืมตัวมาจาก ฟูแล่ม และ ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้ ตัวทำเกมคนสำคัญของทีม ส่วนอะไหล่สำรองอย่าง ดิเอโก้ เดมเม่ เอลจีฟ เอลมาส และ สตานิสลาฟ โลบอตก้า ก็สามารถลงมาหมุนเวียนกันได้ตลอด

แผงหน้าประกอบไปด้วย ลอเรนโซ่ อินซินเย่ แม่ทัพกัปตันทีม มัตเตโอ โปลิตาโน่ ริมเส้นตัวจี๊ดและจอมถล่มประตูของทีมในฤดูกาลนี้อย่าง วิคเตอร์ โอซิมเฮน ทั้ง 3 คนคือตัวเลือกแรกของ สปัลเลตติในฤดูกาลนี้ ส่วนสำรองอย่าง อดัม อูนาส,เฮอร์วิง โลซานโน่,อันเดรีย เปตานญา และ ตัวเก๋าทีมชาติเบลเยี่ยม อย่าง ดรีส เมอร์เท่นส์ ก็พร้อมซัพพอร์ตทีมทันทียามที่เกมฝืด โดยเฉพาะ เปตานญา ที่ลงมาเป็นซุปเปอร์ซับช่วยทีมในหลายๆนัดที่ผ่านมา

4.ร่างเทพของ วิคเตอร์ โอซิมเฮน

 

ศูนย์หน้าชาวไนจีเรีย ย้ายจากลีลส์ ในลีกเอิง ฝรั่งเศส มาร่วมทัพอัซซูร่า ในฤดูกาล 20/21 พร้อมทำสถิติเป็นนักเตะค่าตัวสูงสุดของสโมสร ด้วยค่าตัวราวๆ 81 ล้านยูโร ถึงแม้ในฤดูกาลแรก โอซิมเฮน จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนให้เห็นอยู่บ่อยๆจนไม่สามารถลงช่วย นาโปลี ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร

แต่ในฤดูกาลนี้ เขาคือคีย์แมนคนสำคัญของ นาโปลี ที่ขาดไม่ได้อย่างแท้จริง หลังจากฟื้นฟูสลัดอาการบาดเจ็บจนหายกลับมา โอซิมเฮน ก็เดินหน้าล่าประตูให้กับ นาโปลี ได้ตลอดทุกนัด นี่คือกองหน้าที่น่าจับตามองคนนึงใน กัลโช่ เซเรีย อา เวลานี้เลยก็ว่าได้

แข็งแกร่ง ว่องไว ครบเครื่อง ในแบบที่กองหน้าคนนึงควรจะเป็น และที่สำคัญเขาเล่นได้ตามแทคติกของ สปัลเลตติ คือ การวิ่งไล่เพรสซิ่งแดนบนคู่ต่อสู้ จึงไม่แปลกที่ โอซิมเฮน จะกลายเป็นศูนย์หน้าคนสำคัญของทีมในฤดูกาลนี้ พร้อมทั้งยังซัดไปแล้ว 5 ประตู จาก 9 เกมในลีก และเชื่อว่าจะไม่หยุดตัวเลขไว้ที่เท่านี้อย่างแน่นอน

 

5.แรงหนุนจากกองเชียร์

 

นาโปลี จะฟอร์มดีฟอร์มแย่ยังไงก็แล้วแต่ กองเชียร์ของพวกเขาก็ไม่เคยออกมาต่อว่าทีมให้เป็นข่าวเสียหายเลยแม้แต่ครั้งเดียว สาวกนาโปเลตานี่ หรือ อัซซูร์ร่า ที่ใช้เรียกแทนชื่อแฟนคลับของ นาโปลี พวกเขาพร้อมส่งแรงเชียร์และพร้อมหนุนหลังทีมจาก เมืองเนเปิลส์ มาตั้งแต่รุ่นปู่ยันรุ่นหลาน เสียงเชียร์ของพวกเขาส่งถึงนักเตะที่วิ่งอยู่ในสนามตลอด 90 นาที

ไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นภาพนักเตะนาโปลี วิ่งไปแสดงความดีใจสุดขีดต่อหน้ากองเชียร์ในสนาม สตาดิโอ ดิเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า อยู่เป็นประจำ หรือหลังจบเกมที่พวกเขายืนเรียงแถวเพื่อวิ่งเข้าไปขอบคุณเหล่ากองเชียร์ที่ตามมาส่งกำลังใจให้ทุกสนาม

พวกเขาแทบรอไม่ไหวแล้วจะได้เห็นทีมประสบความสำเร็จได้อีกครั้งเหมือนในอดีต สุดท้ายแล้ว ลูเซียโน่ สปัลเลตติ จะพา นาโปลี เดินไปได้ไกลแค่ไหนในเส้นทางข้างหน้าก็ต้องมาตามลุ้นตามเชียร์กัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image