3 กูรูบอลไทย ‘หรั่ง-เฮง-โอ่ง’ ฟันธง ‘ช้างศึก VS เวียดนาม’ ใครจะเข้าวิน?

3 กูรูบอลไทย ‘หรั่ง-เฮง-โอ่ง’ ฟันธง ‘ช้างศึก VS เวียดนาม’ ใครจะเข้าวิน?

 

 

ความเคลื่อนไหว “ทัพช้างศึก” ฟุตบอลทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศศึกชิงเจ้าอาเซียน หรือ ซูซูกิ คัพ 2020 ไปพบกับ “ดาวทอง” ทีมชาติเวียดนาม ในวันที่ 23 และ 26 ธันวาคม เวลา 19.30 น. (ตามเวลาเมืองไทย) ช่อง 7 ถ่ายทอดสด ขณะที่อีกคู่เป็นการพบกันของ “เจ้าภาพ” สิงคโปร์ กับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 22 และ 25 ธันวาคมนี้

สถิติการเจอกันในศึกชิงเจ้าอาเซียนตลอด 12 ครั้งที่ผ่านมา ไทย กับเวียดนาม เคยลงสนามดวลแข้งกันไปแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้ง แบ่งเป็นรอบแบ่งกลุ่ม 2 ครั้งในปี 2008 ไทยชนะ 2-0 และปี 2012 ไทยชนะ 3-1 รอบรองชนะเลิศ 5 ครั้ง ในปี 1996 ไทยชนะ 4-2, 1998 เวียดนามชนะ 3-0, 2002 ไทยชนะ 4-0 และปี 2007 นัดแรกไทยชนะ 2-0 นัดสองเสมอ 0-0 ขณะที่รอบชิงชนะเลิศเคยเจอกันมาแล้ว 1 ครั้งถ้วนในปี 2008 นัดแรกเวียดนามชนะ 2-1 นัดที่สองเสมอ 1-1 ส่งผลให้เวียดนามคว้าแชมป์ ซูซูกิ คัพ ครั้งแรกในปีนั้น

Advertisement

แผนกข่าวกีฬา “มติชน” สอบถามไปยัง 3 กูรูลูกหนังไทยชื่อดังที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเกมที่ ไทย พบ เวียดนาม ในศึกชิงเจ้าอาเซียน หรือ ซูซูกิ คัพ ประกอบด้วย “โค้ชหรั่ง” นายชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดรองแชมป์ในปี 2007, “โค้ชเฮง” นายวิทยา เลาหกุล อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดคว้าอันดับ 4 ในปี 1998 และ “โค้ชโอ่ง” นายดุสิต เฉลิมแสน อดีตผู้เล่นทีมชาติไทยชุดคว้าแชมป์ในปี 2000 และ 2002 เกี่ยวกับทรรศนะที่มีถึงทีม “ช้างศึก” ก่อนเกมรอบรองชนะเลิศ กับ ทีมชาติเวียดนาม

 

Advertisement

 

“โค้ชหรั่ง” นายชาญวิทย์ ให้ความคิดเห็นว่า สถานการณ์ในอดีตไม่ต่างกัน สิ่งที่ต่างกันคือ เรื่องของความมั่นใจ ตอนนี้เวียดนามน่าจะมั่นใจกว่าไทย เพราะเขาผ่านเข้ารอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย แล้วยังมีชุดเยาวชนที่แข็งแกร่งเอาชนะไทยมาได้ตลอด ในขณะที่เมื่อก่อนเราชนะเวียดนามได้ทุกชุด เพราะฉะนั้นความมั่นใจมันต่างกันแค่นั้น แต่ตัวผู้เล่นของไทยชุดนี้ ถือว่าเป็นผู้เล่นชุดที่ดีที่สุด ที่มีทั้งเด็กใหม่, เด็กปัจจุบัน และเด็กเก่า ซึ่งฟุตบอลที่ผสมด้วย 3 ส่วนนี้จะทำให้รุ่นพี่อย่าง “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน คอยกระตุ้นน้องๆ ในทีมได้ให้เกิดความมั่นใจขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่งานที่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ส่วนตัวมองว่ามีโอกาสผ่านเข้ารอบสูง

“ผมเดาแทคติกของ มาโน่ โพลกิ้ง ไม่ออก แต่ถ้าเราจะช่วงชิงความได้เปรียบก่อน ก็ต้องชนะให้ได้ก่อนในนัดแรก จะได้ทำให้นัดสองเล่นง่าย ส่วนนัดแรกชนะมาจะผ่อนเกมหรือไม่ผ่อนก็แล้วแต่ แต่เชื่อว่าทั้งสองแมตช์จะไม่มีผ่อนเกมทั้งคู่ และจะใส่กันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว หรือจะวางว่าแมตช์แรกเบาไว้หน่อย แต่ไปหนักแมตช์สอง หรือแมตช์แรกหนักไปเลย แล้วไปเบาแมตช์สอง มันแทบพูดไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นผม จะเปิดเกมแลกทั้งสองแมตช์ เดินหน้าบุกเต็มที่ไปเลย อย่างน้อยแฟนบอลได้เห็นศักยภาพของฟุตบอลไทยจริงๆ ในรอบ 6 ปีสักทีว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว” โค้ชหรั่งกล่าว

โค้ชหรั่ง กล่าวต่อว่า ส่วนตัวยังมั่นใจในทีมชาติไทยชุดนี้อยู่ทั้ง ศูนย์หน้า, กองกลาง และกองหลัง แต่ในส่วนของกองหลัง ยังคิดว่ามีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่คิดว่าน่าจะปรับแก้กันได้ก่อนเกมรอบรองชนะเลิศ สิ่งที่มั่นใจคือ ตัวสำรองของเรามีศักยภาพไม่ต่างกับชุดหลัก โดยเฉพาะในนัดที่ผ่านมาผู้เล่นชุดที่ 2 ถือว่าทำผลงานได้ดีเกินคาด หลังได้รับโอกาสโชว์ฟอร์มในสนาม แต่ยอมรับว่าเกมในช่วง 15 นาทีแรกกับฟิลิปินส์ ยังถือว่าแย่อยู่ แต่พอปรับตัวกันได้แล้วก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม อาจเป็นเพราะด้วยสถานการณ์ที่ไม่ได้กดดันมากเพราะเข้ารอบไปแล้วทำให้ไม่มีความกดดันในสนาม

นายชาญวิทย์ กล่าวเพิ่มว่า ส่วนคู่อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ถ้าดูจากฟอร์มของทั้งสองทีมถือว่าสูสีกันมาก ส่วนตัวมองว่าอินโดนีเซียชุดนี้น่ากลัว และมีความหลากหลาย สิงคโปร์อาจจะอาศัยการโจมตีจากผู้เล่นที่มีความเร็วในตำแหน่งปีกทั้งสองข้าง และได้ประตูจากลูกโหม่งเป็นส่วนใหญ่ แต่หากอินโดนีเซีย สามารถหยุดเกมทางด้านข้างของสิงคโปร์ได้ ไม่ให้มีโอกาสได้โยนบอลเข้าไปลุ้นประตู เชื่อว่าอินโดนีเซียก็น่าจะปิดเกม และเข้ารอบชิงได้อย่างแน่นอน

“สุดท้ายนี้ผมขอให้กำลังใจและส่งกำลังใจเชียร์ทีมชาติไทย ไม่ว่าจะชุดไหนก็แล้วแต่ในนามทีมชาติไทย ผมก็คนไทยคนหนึ่งก็ขอเชียร์สุดใจขาดดิ้น และขอให้ประสบความสำเร็จเอาแชมป์กลับมาฝากเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวไทย” อดีตกุนซือทีมชาติไทยกล่าว

 

 

ด้าน “โค้ชเฮง” นายวิทยา ให้ความคิดเห็นว่า เวียดนามดูเป็นมืออาชีพขึ้นกว่าแต่ก่อน และที่สำคัญรูปแบบแผนการเล่นของเขาดีขึ้นเยอะ อารมณ์ในเกมฟุตบอล ซึ่งเวียดนามในอดีตเป็นรองไทย มีความกดดันเมื่อแข่งกับไทย และจะเล่นด้วยอารมณ์ที่อยากชนะ ทำให้ผลการแข่งขันสู้ไทยไม่ได้ แต่ในปัจจุบันเขามีรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนขึ้น มีประสบการณ์ที่สูงขึ้น ดังนั้นจะเป็นสิ่งที่ไทยจะต้องระวัง โดยเฉพาะการเล่นลูกสั้น ที่เจาะตามช่อง ส่วนตัวมองว่าจุดนี้จะทำให้ไทยเล่นลำบาก และที่สำคัญต้องไม่เล่นตามเวียดนาม ต้องเล่นด้วยความสุขุมและไหลไปตามเกมของเรา ซึ่งคุณภาพของผู้เล่นแต่ละคนของไทย เชื่อว่าเหนือกว่าเวียดนามอยู่แล้ว

“โค้ชเฮง” กล่าวต่อว่า นัดแรกเราต้องเอาชนะไว้ก่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจพยายามให้โมเมนตั้มอยู่ในส่วนของเรามากที่สุด นั่นคือการเล่นด้วยความสุขุม และเล่นแบบมีเป้าหมาย ส่วนตัวเป็นห่วงเรื่องเดียวคือ เกมรุกอย่าต่างคนต่างเล่น ต้องมีเป้าหมายที่เหมือนกัน วันบอลวันไอเดีย ต้องรู้ว่าจะบุกเวียดนามในรูปแบบไหน ต้องชัดเจน และอย่าเล่นสะเปะสะปะ ส่งบอลไปมาพร่ำเพรื่อพยายามส่งบอลให้ทะลุทะลวงมากขึ้น และอย่าเปิดโอกาสให้เวียดนามได้โต้กลับ ถ้าทำได้ตามนี้ก็ชนะตั้งแต่ยังไม่แข่งแล้ว

“แน่นอนคีย์แมนคนสำคัญของเวียดนามคือ เหวียน คอง เฟือง แต่ผู้เล่นทุกคนของเขา เราก็จะประมาทไม่ได้เลยเด็ดขาด การจ่ายบอลในแนวลึกซึ่งเวียดนามมีประสบการณ์ในการไปเล่นฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกมาแล้ว เขาจะมีการพัฒนาในการเล่นฟุตบอลแนวลึกได้ดีมากๆ ซึ่งตรงนี้ผมมั่นใจว่าถ้ามิดฟิลด์ในแดนกลางของเราบล็อคปิดไลน์ในการส่งบอลของเวียดนามได้ เรามีโอกาสที่จะชนะอยู่แล้ว และเชื่อว่าเกมจะออกมาที่สกอร์ 2-1 ในนัดแรก ส่วนนัดที่สองอาจจะจบลงด้วยผลเสมอกันไป หากสามารถทะลุเข้าไปนัดชิงได้ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะเจอกับ สิงคโปร์อีกรอบ แต่ก็ประมาทอินโดนีเซียไม่ได้ เพราะพวกเขาเล่นลูกโต้กลับได้ดีมาก แต่โดยรวมแล้วสิงคโปร์ก็ดูเหนือกว่าอยู่นิดหน่อยด้วยการลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลในบ้านตัวเอง” โค้ชเฮงกล่าว

 

 

ขณะที่ “โค้ชโอ่ง” นายดุสิต เฉลิมแสน ให้ความคิดเห็นว่า เวียดนามยุคนี้เปลี่ยนไปเยอะมากกว่าแต่ก่อน มีการพัฒนาขึ้นเยอะกว่าตอนสมัยที่ตัวเองเคยไปเป็นกุนซือให้กับ ฮอง อันห์ ยาลาย โดยเฉพาะตัวผู้เล่นหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มพีค อย่าง เหวียน คอง เฟือง และคนอื่นๆ ก็เป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้าดี และกำลังอยู่ในช่วงมั่นใจ แต่ความเข้าใจในฟุตบอล ส่วนตัวยังมองว่าไทยดูเหนือกว่า โดยเฉพาะ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ที่มีประสบการณ์ในเจลีก รวมทั้งผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูงอย่าง “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา

“ตอนนี้ทีมชาติไทยอยู่ในชุดที่มีผู้เล่นดีที่สุดในรอบหลายปี เชื่อว่าโอกาสของเราน่าจะชนะได้ แต่ก็ต้องเล่นแบบรัดกุม ไม่ประมาท ต้องไม่เปิดโอกาสให้เขาได้มีพื้นที่ในการเล่น เพราะผมคิดว่าเวียดนามชุดนี้ มีทีเด็ดทีขาดค่อนข้างดีในเกมรุก เพราะจังหวะตัวผู้เล่นของพวกเขากำลังอยู่ในจุดพีค เหมือนยุคหนึ่งที่เราเป็นแชมป์อาเซียน ช่วงนั้นใครก็เอาเราลงยากเหมือนกัน เกมแรกมองว่าคงจะต้องเล่นแบบรัดกุมเป็นพิเศษ และคงยังไม่เปิดเกมแรกแบบสุ่มเสี่ยง แต่ถ้าหากเรามีโอกาสทำประตูก็ต้องรีบทำให้ได้ก่อน คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้แมตช์เราไม่แพ้ ผมเชื่อในศักยภาพของผู้เล่นคนไทยมากกว่า น่าจะเก็บชัยชนะได้ทั้งสองแมตช์ แต่สกอร์อาจจะไม่ขาด อาจจะ 1-0 ทั้งสองเกมก็เป็นไปได้”

“โค้ชโอ่ง” กล่าวเพิ่มว่า ส่วนตัวมองว่าอีกคู่ อินโดนีเซียดูดีกว่าเล็กน้อย เพราะมีผู้เล่นมีตัวที่ทีเด็ดทีขาดกว่าสิงคโปร์ แต่ประสิทธิภาพในจังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบขาดเท่าที่ควร เลยมองว่าอินโดนีเซียน่าจะดูได้เปรียบเล็กน้อย และขอเป็นกำลังใจให้กับทีมชาติไทยตลอด อยากให้ชุดนี้ประสบความสำเร็จ ให้แฟนบอลได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากห่างหายความสำเร็จในถ้วยอาเซียนไปนาน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image