ความเคลื่อนไหวการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 45 ในวันที่ 14-16 กรกฎาคม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก โดยมีทีมเข้าร่วมคือ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย อันดับ 127 ของโลก และแชมป์เก่า, บูร์กินาฟาโซ อันดับ 41 ของโลก, เบลารุส อันดับ 83 ของโลก และเกาหลีเหนือ อันดับ 114 ของโลกนั้น
“โค้ชเฮง” นายวิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า สำหรับรายชื่อทีมที่เข้าร่วมศึกคิงส์คัพ ทั้งบูร์กินาฟาโซ, เบลารุส และเกาหลีเหนือนั้น ค่อนข้างพอใจ เพราะแต่ละทีมมีสไตล์การเล่นแตกต่างกันไป อย่างเช่น เกาหลีเหนือ นักเตะฟิต เล่นอย่างแข็งแกร่ง, เบลารุส เล่นบอลเหนียวแน่นตามแบบฉบับยุโรปตะวันออก ส่วน บูร์กินาฟาโซ ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะดี
โค้ชเฮงกล่าวว่า แต่ละทีมจะมีสไตล์เล่นต่างกัน ทำให้ทีมชาติไทยจะได้โอกาสเล่นกับบอลหลากสไตล์ และได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับคู่แข่งได้อย่างเต็มที่ โดยในศึกคิงส์คัพครั้งนี้ เชื่อว่า มิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชทีมชาติไทยจะให้โอกาสดาวรุ่ง และเรียกนักเตะหน้าใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม เพื่อทดสอบผู้เล่นแต่ละคน เหมือนกับการเรียกนักเตะชุดที่ผ่านมา อุ่นเครื่องกับ อุซเบกิสถาน และฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย พบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)
“หลายคนมีโอกาสได้เล่นทีมชาติครั้งแรก และด้วยโปรแกรมที่ต้องแข่งติดต่อกันวันเว้นวัน คาดว่าราเยวัชน่าจะสลับผู้เล่นลงสนามอย่างครบถ้วน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่นักเตะหน้าใหม่จะโชว์ฟอร์มให้เข้าตา เพื่อติดทีมชาติไทยต่อไปในแมตช์อื่นๆ” โค้ชเฮงกล่าว
สำหรับบัตรชมการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 45 ได้เปิดจำหน่ายแล้วที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ราคาบัตรต่อ 1 วัน ชม 2 คู่ 100, 200, 300, 400 และ 500 บาท ส่วนบัตรแพ็คเกจ ชมเกม 2 วัน รวม 4 คู่ ราคา 170, 340, 510, 680 และ 850 บาท
