เคาต์ดาวน์ก่อนระเบิดศึก ‘ยูโร 2020’
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ ทัวร์นาเมนต์ลูกหนังรายการใหญ่อย่าง ยูโร 2020 ก็จะได้ฤกษ์เปิดฉากอย่างเป็นทางการ หลังจากต้องเลื่อนการแข่งขันมานานถึง 1 ปีเต็ม เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยจะทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน-11 กรกฎาคม
และเพราะสถานการณ์โรคระบาดยังไม่คลี่คลายก็ทำให้ยูโร 2020 ต้องจัดภายใต้ข้อจำกัดและความเปลี่ยนแปลงหลายๆ ประการ
แรกสุดคือเมืองเจ้าภาพ เดิมนั้นกำหนดจัดการแข่งขันใน 12 เมือง 12 ประเทศ ตามนโยบายของ มิเชล พลาตินี่ อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของทัวร์นาเมนต์ โดยเปิดให้เมืองต่างๆ ที่มีสนามฟุตบอลเข้าเกณฑ์การเป็นเจ้าภาพที่กำหนดไว้ ยื่นเสนอตัวคล้ายๆ การประมูล จนได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดโควิดระบาดขึ้น ยูฟ่าต้องปรับเงื่อนไขการเป็นเจ้าภาพ โดยระบุว่า เมืองนั้นๆ ต้องสามารถเปิดให้แฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามได้ราว 30 เปอร์เซ็นต์ของความจุ
ปรากฏว่า มีอยู่ 2 เมืองที่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขดังกล่าวได้ นั่นคือ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน และกรุงดับลินของไอร์แลนด์ ส่งผลให้ยูฟ่าต้องมีมติเปลี่ยนแปลงเจ้าภาพเมื่อเดือนที่แล้ว โดยให้เซบีย่ารับหน้าเสื่อจัดแทนบิลเบา ส่วน 4 แมตช์ที่กำหนดเตะที่ดับลิน ย้ายไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 3 แมตช์ และลอนดอน 1 แมตช์
เท่ากับว่ายูโร 2020 คราวนี้จะมีเจ้าภาพ 11 เมือง ลดลงจากเดิม 1 เมือง โดยสนามที่ได้สิทธิจัดมากที่สุดคือ สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้สิทธิจัดรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด, รอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 นัด, รอบรองชนะเลิศ 2 นัด และรอบชิงชนะเลิศ ตามด้วย เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย จัดรอบแบ่งกลุ่ม 6 นัด และรอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด
ขณะที่สนามที่ได้จัดรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด และรอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด มี 3 สนาม ได้แก่ บากู โอลิมปิก สเตเดียม กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน, อัลลิอันซ์ อารีน่า เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี และ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ที่เหลืออีก 6 สนาม ได้สิทธิจัดรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด และรอบ 16 ทีมสุดท้าย 1 นัด ได้แก่ โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์, เนชั่นแนล อารีน่า บูคาเรสต์ กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย, ปุสกัส อารีน่า กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี, ปาร์เกน สเตเดียม กรุงโคนเปเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก, สนามแฮมป์เดนปาร์ก เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ และ สเตเดียม ลา คาตูฆา เมืองเซบีย่า ประเทศสเปน
สำหรับคู่เปิดสนามคืนวันที่ 11 มิถุนายนนี้ คือ อิตาลี พบ ตูนิเซีย ในกลุ่มเอ ที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก้ กรุงโรม
การที่มีหลายเมืองได้สิทธิเป็นเจ้าภาพหมายความว่า หลายทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย จะได้สิทธิเตะในบ้านของตัวเอง ต่างจากเดิมที่มีเพียงเจ้าภาพเพียงหนึ่งหรือสองชาติเท่านั้น
ศึกยูโร 2020 ประกอบด้วย 24 ทีม แบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ดังนี้
กลุ่มเอ : ตุรกี อิตาลี เวลส์ สวิตเซอร์แลนด์
กลุ่มบี : เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เบลเยียม รัสเซีย
กลุ่มซี : เนเธอร์แลนด์ ยูเครน ออสเตรีย นอร์ธ มาซิโดเนีย
กลุ่มดี : อังกฤษ โครเอเชีย สกอตแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก
กลุ่มอี : สเปน สวีเดน โปแลนด์ สโลวาเกีย
กลุ่มเอฟ : ฮังการี โปรตุเกส ฝรั่งเศส เยอรมนี
รูปแบบการแข่งขันยังเป็นเช่นเดิม คือแข่งแบบพบกันหมดในกลุ่มเพื่อจัดอันดับ ทีมแชมป์และรองแชมป์กลุ่มจะได้สิทธิเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หรือรอบน็อกเอาต์ทันที ร่วมกับทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีมจาก 6 กลุ่ม โดยประกบคู่เตะแบบน็อกเอาต์ ใช้กติกาเสมอต่อเวลาและดวลจุดโทษ จนถึงรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมเบลีย์ในวันที่ 11 กรกฎาคม
น่าเสียดายที่สถานการณ์โควิดกลายเป็นประเด็นใหญ่ต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้รายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการแข่งขันไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
เช่นแมสคอต หรือตัวนำโชคประจำการแข่งขัน เนื่องด้วยปีนี้ไม่มีเจ้าภาพเป็นชาติใดชาติหนึ่งชัดเจน จึงออกแบบตัวนำโชคให้มีภาพลักษณ์กลางๆ สื่อถึงความเป็นนักเตะเลือดยุโรป
แมสคอตตัวนี้มีรูปร่างเป็นชายหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมงในชุดสีฟ้า ได้ชื่อว่า สกิลซี่ (Skillzy) โดยคำว่า skill น่าจะมาจากภาษาอังกฤษว่า ทักษะ
ยูฟ่าระบุถึงคาแรกเตอร์ของสกิลซี่ว่า มีความโดดเด่น มีเสน่ห์ ได้แรงบันดาลใจมาจากสตรีทฟุตบอลหรือฟุตบอลแบบฟรีสไตล์
ในส่วนของเพลงประจำการแข่งขันได้ มาร์ติน การ์ริกซ์ ดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวดัตช์มาทำเพลงให้ โดยชื่อเพลงว่า “We Are the People” มีนักร้องดัง โบโน่ กับ ดิ เอดจ์ สมาชิกวงร็อก ยูทู มาขับร้อง
รออีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็จะได้ฟังเพลงนี้กันเต็มๆ ในพิธีเปิดการแข่งขันแล้ว
