27.92 วินาที จากโอกาสทองสู่ฝันร้ายของกังหันลม

(Photo by Darko Bandic / POOL / AFP)

27.92 วินาที จากโอกาสทองสู่ฝันร้ายของกังหันลม

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วชนิดที่สื่อจับเวลาว่า การพลิกผันจากสวรรค์สู่นรกของทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ในศึก ยูโร 2020 กินเวลาเพียง 27.92 วินาทีเท่านั้น!

เป็นเวลาตั้งแต่ ดอนเยลล์ มาเลน ได้โอกาสดีในการพาบอลทะลวงเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะโดน โทมัส วัซลิก นายทวารสาธารณรัฐเช็ก ล้มตัวตะครุบบอลเอาไว้

หลังจากนั้นเป็นฝั่งเช็กที่ทำเกมบุก และ มัทไธจ์ เดอ ลิกต์ กองหลังทีมกังหันลม เสียหลักขณะพยายามตามประกบ พาทริค ชิก ดาวยิงฝ่ายตรงข้าม

เดอ ลิกต์ เอามือไปคว้าบอลตอนล้มลง กรรมการมองว่าเจตนาทำแฮนด์บอลเพื่อหยุดเกมรุกของคู่แข่ง จึงโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม สุดท้ายแข้งดัตช์ที่เหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า ต้านทานความแข็งแกร่ง มุ่งมั่น และการเล่นอย่างมีวินัยของเช็กไม่ไหว พ่ายไป 0-2 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในที่สุด

Advertisement
REUTERS/Bernadett Szabo

นับเป็นบทสรุปที่ไม่คาดฝันสำหรับแฟนบอลอัศวินสีส้มอย่างยิ่ง หลังจากทีมคว้าชัยชนะได้ 3 นัดรวดในรอบแรก ด้วยฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเกมบุกซึ่งพวกเขาเป็นทีมที่ยิงประตูคู่แข่งได้มากที่สุด 8 ประตู จาก 24 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม

และน่าเสียดายไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะคู่แข่งรอบต่อไปคือ เดนมาร์ก ซึ่งว่ากันตามจริงก็ถือว่าไม่หนักเกินความสามารถที่ทีมจะผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้

เรียกว่าเป็นความผิดหวังที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก หลังจากก่อนหน้านี้ เนเธอร์แลนด์ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลระดับเมเจอร์ 2 รายการต่อเนื่อง คือ ยูโร 2016 และ ฟุตบอลโลก 2018

Advertisement

ความพ่ายแพ้ในนัดนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า ถึงฮอลแลนด์จะเก็บชัยมา 3 นัดรวด และมีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นน่าตื่นตาตื่นใจในเกมบุก แต่ทัวร์นาเมนต์นี้พวกเขายังไม่เจอกับคู่แข่งที่จะเรียกว่าเป็นระดับท็อปอย่างจริงจัง

เช็กเองก็ถือเป็นทีมระดับกลาง แต่เตรียมตัวมาดี นักเตะมีวินัยในเกมรับ ขณะเดียวกันก็อาศัยรูปร่างสูงใหญ่ การปะทะเข้าบอลแบบไม่กลัวเจ็บ ช่วยหยุดเกมบุกที่พลิ้วลื่นไหลของเนเธอร์แลนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมมฟิส เดปาย ยืนตำแหน่งศูนย์หน้า แต่ก็ไม่ใช่กองหน้าธรรมชาติที่มีสัญชาตญาณทำประตูแบบหวังผลได้ทุกจังหวะของการบุกเหมือนเช่นทีมกังหันลมในอดีต อาทิ มาร์โก้ ฟาน บาสเท่น, รุด ฟาน นิสเตลรอย หรือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

นักเตะหลายคนอายุยังไม่มาก แม้จะมีฝีเท้าดี แต่ยังขาดประสบการณ์ในเกมใหญ่ และพอพลาดพลั้งเหลือผู้เล่น 10 คน กลางครึ่งหลังในเกมกับสาธารณรัฐเช็ก ก็เผยให้เห็นจุดอ่อนอีกประการหนึ่ง นั่นคือการขาดคนที่เป็น “ผู้นำ” ในสนาม

เวอร์จิล ฟาน ไดค์ (AFP)

ก่อนแข่งทัวร์นาเมนต์นี้ นับเป็นโชคร้ายของเนเธอร์แลนด์ที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ กองหลังกัปตันทีมได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าในฤดูกาลพรีเมียร์ลีกกับ ลิเวอร์พูล ต้องผ่าตัดและพักยาวจนจบฤดูกาล

การขาดเซ็นเตอร์ตัวหลักอย่างฟาน ไดค์ ส่งผลชัดเจนทั้งกับหงส์แดงและทีมชาติดัตช์ เพราะทีมไม่ได้แค่ขาดคนที่คอยบัญชาการในเกมรับ หรือเซ็นเตอร์ที่มีเซ้นส์การอ่านเกมยอดเยี่ยม เข้าตัดบอลได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ยังขาดผู้นำและศูนย์รวมจิตใจทั้งในและนอกสนามด้วย

แฟรงก์ เดอ บัวร์ กุนซือกังหันลม ยอมรับก่อนส่งชื่อ 26 แข้งยูโรว่า ฟาน ไดค์มีความจำเป็นกับทีมอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องใจ เพราะเขาเป็นเหมือน “พี่ใหญ่” ที่เป็นศูนย์รวมใจของน้องๆ ในทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวรับ แต่สุดท้ายแล้วจะให้สิทธิเจ้าตัวตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมแข่งขันยูโรหรือไม่

ตัวฟาน ไดค์ เองสองจิตสองใจอยู่นาน แต่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ไป เพราะหวั่นว่า ถ้าฝืนลงเล่นในศึกยูโร อาจทำให้สภาพร่างกายที่ยังไม่ฟิตแย่ลง อาการบาดเจ็บหนักขึ้นกว่าเดิม หรือเรื้อรังยืดเยื้อไปถึงฤดูกาลหน้า
ช่วงเกมอุ่นแข้งก่อนยูโรเปิดฉาก มีข่าวว่าเดอ บัวร์ ให้ฟาน ไดค์ ไปนั่งข้างสนามช่วยเป็นกำลังใจให้ทีมเกิดความเชื่อมั่น

การขาดฟาน ไดค์ ในสนามในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บูดาเปสต์ เห็นผลชัดเจน เพราะเดอ ลิกต์ ไม่มีคู่หูเซ็นเตอร์ที่ช่วยให้อุ่นใจในสนาม จนนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดจนกลายเป็นใบแดงอย่างที่เห็น รวมถึงไม่มีกัปตันคอยปลุกขวัญหรือกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมให้ฮึดสู้หลังจากเหลือผู้เล่น 10 คน

ต้องไม่ลืมว่าถึงเนเธอร์แลนด์ชุดนี้จะเคยไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ฤดูกาล 2018-19 หรือเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มในรอบแรกของยูโรหนนี้ พวกเขาก็ยังเป็นทีมที่อยู่ในช่วงผลัดใบ ค่อยๆ ตั้งหลักหลังความผิดหวังซ้ำซ้อนในการคว้าโควต้าฟุตบอลระดับเมเจอร์ 2 รายการติดก่อนหน้านี้

หลังจากนี้คงต้องกลับไปเริ่มกันใหม่ พร้อมหลากหลายบทเรียนที่ต้องแก้ไข โดยมีเป้าหมายที่ฟุตบอลโลก 2022 เป็นสำคัญ

แฟรงก์ เดอ บัวร์ (REUTERS/Attila Kisbenedek)

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image