5ข้อเฝ้าระวัง’ช้างศึก’ ก่อนตะลุย’เอเชี่ยนคัพ’

ควันหลงจากความผิดหวังที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” เอาไว้ได้ เชื่อว่ายังคงปกคลุมความรู้สึกของแฟนบอลชาวไทยอยู่ในตอนนี้ และสิ่งที่จะลบล้างมันได้ก็คงต้องเป็นผลงานของรายการสำคัญอย่าง “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)

แต่พอเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับเอเชีย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะทำผลงานให้ได้ดังใจหวัง ดังนั้นวันนี้จะมาดูกันว่า 5 สิ่งที่ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย จะต้องระวังเอาไว้ในทัวร์นาเมนต์นี้ มีเรื่องอะไรบ้าง

1.คู่ปรับจากตะวันออกกลาง
ด้วยความที่เป็นเอเชี่ยนคัพ แน่นอนว่าเราจะต้องเจอกับกระดูกเบอร์โตๆ ในทวีปเอเชียแทบทั้งสิ้น และสิ่งที่เหมือนเป็นกระดูกชิ้นโตของทีมชาติไทยมานานนั่นก็คือเหล่าชาติจากโซนตะวันออกกลางทั้งหลาย

Advertisement

และในเอเชี่ยนคัพหนนี้ ไทยซึ่งถูกจับมาอยู่ในกลุ่มเอ นอกจากเจอกับเจ้าภาพอย่างยูเออีแล้ว ก็ยังต้องเจอกับบาห์เรน ขณะที่อีกทีมหนึ่งก็เป็นอินเดีย ทีมจากเอเชียใต้

จริงอยู่ที่สถิติระหว่างทีมชาติไทยกับอินเดีย แม้ว่าอันดับโลกจะเป็นรอง แต่การเจอกันหลายๆ ครั้งไทยทำได้ดีกว่า เราเจอกับอินเดียมา 21 ครั้ง ชนะได้ถึง 11 ครั้ง และเสมอไป 6 แพ้เพียงแค่ 4 เท่านั้น

แต่ถ้าเทียบกับอีก 2 ทีมในกลุ่มทั้งยูเออีและบาห์เรน ก็ต้องบอกว่าสถิติไทยเป็นรอง โดยเฉพาะยูเออี ที่เจอกัน 9 ครั้ง ไทยแพ้ถึง 6 ครั้ง เสมออีก 2 และชนะหนเดียว ส่วนบาห์เรน เจอ 7 ครั้ง ก็ชนะได้แค่ครั้งเดียว เพียงแต่หนักเสมอไปถึง 4 ครั้งมากกว่า

Advertisement

ดังนั้นนี่จะเป็นบททดสอบหนึ่งที่ช้างศึกจะต้องผ่านไปให้ได้

2.สไตล์การเล่นของมิโลวาน ราเยวัช
ในซูซูกิ คัพ ที่ผ่านมา สิ่งที่แฟนบอลต่างกังขาในฝีมือการทำทีมของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบีย มากที่สุด ด้วยสไตล์บอลแบบเน้นผลการแข่งขัน ไม่เน้นเรื่องของเกมบุก ทำให้ขัดใจแฟนบอลอย่างมาก

แต่ต้องเข้าใจก่อนว่านั่นคือฟุตบอลระดับอาเซียนไม่ใช่ระดับเอเชียแบบที่เรากำลังจะเจอ แม้ว่าสไตล์การเล่นแบบเกมรับเน้นผลการแข่งขันที่ต้องการนั้นอาจจะไม่ถูกใจแฟนบอลไทยสายฮาร์ดคอร์ที่ชอบดูฟุตบอลเกมรุกกัน แต่ถ้าหากสามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการและเป็นไปตามเป้าหมายคือเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ นั่นก็คือสิ่งที่ต้องทำ

โดยส่วนตัวแล้วยังเชื่อว่าสไตล์แบบราเยวัชนั้นจะสามารถทำผลงานในระดับเอเชียได้ดี เหมือนที่เคยเสมอยูเออีในบ้านมา 1-1 หรืVแพ้ออสเตรเลียแบบฉิวเฉียดในเกมเยือน 1-2 แต่ก็มีชนะตรินิแดด และโตเบโก* ได้

ยิ่งเป้าหมายหลักคือการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายให้ได้คือเป้าหมายหลักแล้ว ถ้าหากชนะอินเดียได้ แล้วไปเก็บผลเสมออีก 2 เกมที่เหลือ โอกาสเข้ารอบก็แทบจะแบเบอร์แล้ว

อย่าได้ฟังเกรียนคีย์บอร์ดแล้วเปลี่ยนแนวทางของตัวเองโดยเด็ดขาด

3.ไร้เทพพิทักษ์นาม’กวินทร์’
เป็นอันแน่นอนแล้วว่า “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นายทวารมือ 1 ของทีมชาติไทย จะไม่สามารถช่วยทีมได้ในศึกเอเชี่ยนคัพหนนี้ จากอาการบาดเจ็บบริเวณ ใต้เท้า ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ จากการลงเล่นให้กับโอเอช ลูเวิน ในดิวิชั่น 2 เบลเยียม ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และยังไม่ได้ลงสนามอีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น

แม้ว่าทางช้างศึกจะพยายามถ่วงเวลาสุดฤๆทธิ์ รอเช็คอย่างละเอียดเพื่อหวังให้เทพพิทักษ์ของไทยรายนี้ สามารถลงสนามในฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียได้ แต่สุดท้ายเมื่อสภาพร่างกายไม่อำนวย “ช้างศึก” ก็จะต้องไปสู้แบบที่ไม่มีนายทวารมือ 1 ของทีม

เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าหนักใจก็คือ ผลงานของ 2 นายทวาร ที่ลงเล่นในซูซูกิ คัพ ที่ผ่านมา เพราะทั้ง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน หรือ ฉัตรชัย บุตรพรหม ทั้งคู่ยังไม่ได้แสดงความไว้วางใจให้เห็นเลย ขณะที่มือ 3 อย่าง**สรานนท์ อนุอินทร์** นี่คือเครื่องหมายคำถามว่านายทวารที่ไม่ได้ลงเล่นให้กับสโมสร แต่มีชื่อติดทีมชาติ ดังนั้นจึงไม่สามารถหาอะไรพิสูจน์ได้เลยว่าจะดีหรือไม่ดี

นี่คือคำถามหนึ่งที่แฟนบอลรอคำตอบแน่นอนว่าใครจะได้เป็นมือ 1 ในทัวร์นาเมนต์นี้ระหว่างศิวรักษ์ หรือฉัตรชัย ปัญหานี้ทำให้ย้อนนึกถึงบางทีมในอังกฤษที่เคยประสบปัญหาความไม่แน่นอนในตำแหน่งนี้เช่นกันจนทำให้ผลงานของทีมย่ำแย่

เพราะถ้าไม่มีมือ 1 ที่แน่นอน รับรองได้ว่ามีปัญหาเหมือนซูซูกิคัพแน่ๆ

4.หวังพึ่ง ‘เมสซี่เจ’ มากไป

จากผลงานอันเอกอุของ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ไประเบิดฟอร์มในเจลีก ญี่ปุ่น ฤดูกาลที่ผ่านมา พาทีม “นกเค้าแมวเมืองเหนือ” คอนซาโดเล่ ซัปโปโร จบอันดั แถมผลงานส่วนตัวยังเป็นนักเตะไทยรายแรกที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของเจลีก และก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรจากการโหวตของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีม

แน่นอนว่าสปอร์ตไลท์ทุกดวงจะต้องส่องไปยังดาวเตะร่างเล็กแต่ใจใหญ่รายนี้อย่างแน่นอน เพราะเขาจะเป็นทุกอย่างของทีมชาติไทยในเอเชี่ยนคัพครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยสไตล์ของราเยวัชที่เน้นเกมรับแล้วสวนกลับ ดังนั้นการขึ้นเกมในจังหวะสวนของชนาธิปก็จะเป็นเป้าหลักอย่างแน่นอน

แต่ด้วยฟอร์มที่ดีมากๆ ของชนาธิปเอง มันก็เหมือนเป็นดาบสองคมเช่นกัน เพราะเท่ากับทุกทีมรู้ดีว่าเกมจะขึ้นที่ชนาธิป ถ้าสามารถปิดดาวเตะหมายเลข 18 รายนี้ได้ เกมของทีมชาติไทยก็พร้อมที่จะไร้พิษสงเช่นกัน

อีกทั้งถ้าทีมชาติไทยไปหวังพึ่งชนาธิปกันมากๆ ความกดดันก็จะถาโถมไปที่ตัวนักเตะ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะเป็นนักเตะที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ถ้ากดดันมากๆ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เป๋เช่นกัน

ดังนั้นควรหาแผนสองไว้รองรับกันด้วย

5.ฝันร้ายจากซูซูกิคัพ

เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ซูซูกิคัพ เพราะผลงานของทีมชาติไทยในปีนี้ ถูกกดดันมาตั้งแต่ที่ตกรอบแรกเอเชี่ยนเกมส์ เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอกย้ำด้วยความผิดหวังที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์ซูซูกิ คัพ ได้ ทำให้ช้างศึกตัวนี้บอบช้ำทางจิตใจเข้าไปยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

เมื่อประกอบทุกอย่างรวมกัน ทำให้เอเชี่ยนคัพ เป็นความกดดันที่ยิ่งยวดมากๆ สำหรับแข้งช้างศึก กดดันจนถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่ผ่านรอบแรก โลกโซเชียลได้ระอุอีกครั้งแน่นอน

เรื่องของสภาพจิตใจ เป็นส่วนสำคัญต่อการลงเล่น อยู่ที่ว่าช้างศึกตัวนี้จะลงสนามไปด้วยความรู้สึกแบบใด

ถ้าลงไปด้วยความรู้สึกที่มีความมุ่งมั่น อยากแก้ตัวจากผลงานที่ผิดหวังในซูซูกิ คัพ ที่ผ่านมา พวกเขาก็จะสามารถโชว์ฟอร์มการเล่นที่แฟนบอลไทยอยากเห็นออกมาได้ แต่ถ้าลงเล่นด้วยความรู้สึกที่ยังจมกับความผิดหวัง กดดัน กลัวจะพลาดขึ้นมาอีก นั่นก็จะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในสนามเช่นกัน

ก็หวังว่าจะมีใครเรียกสติกลับมาได้ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นละกัน

สุดท้ายแล้วแฟนบอลอย่างเราๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการให้กำลังใจช้างศึก ทำผลงานให้ได้ดี พิสูจน์ตัวเองในระดับเอเชียให้ได้ เพื่อเรียกศรัทธาฟุตบอลไทยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image