เปิดเหตุผลทำไมถึงไม่ควรไล่ ‘บิ๊กอ๊อด’ ยามผลบอลไม่เป็นใจ

ผ่านพ้นกันเป็นวันแล้ว ไม่รู้ว่าแฟนบอลชาวไทยตอนนี้จะหายหัวร้อนจากผลงานย่ำแย่ในการเปิดสนาม “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย พ่ายให้กับทีมจากแดน “ภารตะ” อย่างอินเดีย ไปยับเยิน 1-4

แน่นอนว่าหลังจากจบเกมนั้น กระแสถาโถมไปยัง มิโลวาน ราเยวัช กุนซือ “ช้างศึก” แบบไม่ต้องสงสัย เพราะว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการวางแท็กติกต่างๆ ที่ลงสนามไปในเกมนี้ มันมากเกินกว่าที่จะให้อภัยกันได้

ซึ่งสุดท้ายการตัดสินใจแบบฟ้าผ่าของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ก็ตัดสินใจแยกทางกับราเยวัช สาแก่ใจแฟนบอลเป็นที่เรียบร้อย ถามว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่กับการปลดแม่ทัพกลางศึกแบบนี้ สิ่งที่จะให้คำตอบได้ก็คืออีก 2 เกมที่เหลือ

Advertisement

แต่ทว่าอีกกระแสหนึ่งที่มาแรงไม่แพ้กัน นั่นคือเรื่องของการเรียกร้องให้ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบต่อผลงานด้วย

อันนี้บอกตรงๆ ก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันว่า ทีมชาติทำผลงานไม่ดีแล้วผู้บริหารต้องรับผิดชอบ เพราะเท่าที่ดูฟุตบอลมา เห็นทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก, “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี หรือ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ตกรอบแรกเมื่อยูโร 2000 ก็ไม่เคยเห็นผู้บริหารต้องมาลาออกเพื่อรับผิดชอบสักครั้ง

จริงอยู่ว่า บิ๊กอ๊อด อาจจะเป็นคนที่พูดจาโผงผาง บางครั้งพูดไม่คิด ตามประสาตำรวจไทย การถูกจ่อไมค์สัมภาษณ์บางครั้งคิดไม่ทันว่าจะต้องพูดอะไรออกมาบ้าง ทำให้มันเกิดวาทะกรรมรุนแรงที่ตามมาเป็นเป้าให้ตัวเองโดนเล่นงานจากแฟนบอลหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ผมอาย”

Advertisement

แต่ในเรื่องของการบริหาร ก็ต้องบอกว่าตัวพล.ต.อ.ดร.สมยศ เองก็พัฒนาวงการฟุตบอลขึ้นมาในระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นจะไปดูกันว่าบิ๊กอ๊อด ทำอะไรให้กับวงการฟุตบอลไทยบ้าง

1.จากเดิมที่ต้องไปอาศัยอยู่เป็นหลืบๆ หนึ่งในกรมพลศึกษา “บิ๊กอ๊อด” ได้สร้างที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นหลักเป็นแหล่ง มีอาคารเป็นของตัวเอง อยู่ที่อาคาร 40 ปี การกีฬาแห่งประเทศไทย ถ้าใครว่างๆ อยากไปดักรอเจอก็ไม่ห้ามนะครัช

2.ตั้งแต่การเข้ามาของ “บิ๊กอ๊อด” ได้สร้างความน่าเชื่อถือต่อสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) หรือสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) จนได้งบมาสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่มีความทันสมัย สะดวกสบาย อยู่ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เพื่อให้ทีมชาติไทยทุกอายุได้มาเก็บตัวที่นี่ ศูนย์ฝึกนี้ใหญ่ขนาดไหน ก็จานนี อินฟันติโน่ ประธานฟีฟ่า ยังมาร่วมงานเปิดด้วยตัวเองละกัน

3. จากปัญหาเรื่องของผู้ฝึกสอนที่ขาดแคลนกันมานาน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ภายใต้การนำของบิ๊กอ๊อด เปิดอบรมโค้ชในระดับต่างๆ ตั้งแต่อินโทร, ซี, บี, เอ จนถึงโปรไลเซนส์ จนตอนนี้มีโค้ชในระบบมากกว่า 1,800 คน รวมถึงจากเดิมที่มีโค้ชระดับ โปร เพียงคนเดียว ตอนนี้มีเพิ่มมา 16 คน และยังมีเพิ่มได้อีกในปีนี้ด้วย

4. พล.ต.อ.สมยศ ใช้เวลาในการบริหารงาน 2 ปี สามารปลดหนี้กว่า 300 ล้านบาท ที่สมาคมฯ เป็นหนี้สรรพากร รวมถึงหนี้สินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนจะเข้าสู่วาระการบริหารงานของ “บิ๊กอ๊อด”

5. “บิ๊กอ๊อด” ทำให้ระบบการเงินของฟุตบอลลีกอาชีพมีความมั่นคง การมอบเงินสนับสนุนทีมในทุกระดับตรงตามเวลาแบบไม่มีใครต้องมาร้องว่ายังไม่ได้เงิน แถมยังมีเงินมอบให้พิเศษเพื่อไปพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกของสโมสร เพื่อให้ผ่านตามกฎเอเอฟซีในเรื่องของ “คลับไลเซนซิ่ง” อีกด้วย

6. ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยทุกชุด ไม่เคยมีชุดไหนที่ไม่ได้รับเงินรางวัล หรือได้รับเงินรางวัลช้า เพราะสมาคมฯ ชุดนี้ไม่เคยอมเงินนักเตะ จนนักเตะต้องมาร้องออกสื่อเหมือนสมัยก่อน รวมถึงยังดูแลนักเตะทีมชาติไทยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน อยู่ หลับนอน หรือเดินทาง ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด

7. สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” สามารถแจกแจงบัญชีรายรับ-รายจ่าย ออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเงินเป็น บัญชีเงินจากฟีฟ่า, บัญชีเงินจากเอเอฟซี, บัญชีเงินจากเอเอฟเอฟ หรือบัญชีเงินจากค่าปรับไทยลีก และทุกบัญชีสามารถชี้แจงเงินเข้าออก ตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส

8. ฟุตบอลในยุคสมัยของ “บิ๊กอ๊อด” คือยุคแรกที่มีการจับการล็อกผลบอล หรือปราบปรามการทุจริตต่างๆ มีการจับกุมขบวนการล้มบอล ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากทางฟีฟ่า ถึงขั้นเชิญตัวแทนสมาคมฟุตบอล ไปให้คำแนะนำเรื่องการปราบปรามการล้มบอลถึงประเทศฝรั่งเศส

9. “บิ๊กอ๊อด” คือคนที่กล้าเปิดคดีความ ทวงความยุติธรรม ที่เป็นส่วนของเงินจากสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากผู้ดูแลสิทธิประโยชน์เดิมของสมาคมชุดเก่า กว่า 1 พันล้านบาท

10. สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มีการวางรากฐานเรื่องพัฒนาผู้ตัดสิน ร่วมมือกับเอเอฟซี ทำโครงการ AFC Expert Pool และดึงเอาฟาฮัด อับดุลลาเยฟ ที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาผู้ตัดสินจากฟีฟ่า และ เอเอฟซี มาเป็นวิทยากรประจำ ทำให้ตอนนี้มีผู้ตัดสินไทยที่เป็นผู้ตัดสินระดับฟีฟ่าเพิ่มขึ้น แถมยังมีผู้ตัดสินฟุตซอล ฟุตบอลชายหาดอีก รวมไปถึงมีเชิ้ตดำหญิงฟีฟ่าคนแรกของไทยคือ ปนัดดา โคตรเสนาภัทร

สุดท้ายนี้อยากให้แฟนบอลไทยได้ลองแยกกันว่า เรื่องของการบริหารงาน กับผลงานในสนาม เป็นคนละส่วนกัน ไม่อยากให้เหมารวมด่าเวลาที่ผลงานในสนามของทีมชาติไทยไม่เป็นดั่งใจ

ว่าแล้วก็ช่วยกันลุ้นทีมชาติไทยในอีก 2 เกมที่เหลือกันดีกว่า

ติดตามข่าวเด็ดกีฬาดัง ทาง Line@ มติชนกีฬา (@matisport) คลิกเลย
เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image