“ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เตรียมลงสนามปะทะทีม “ดาวทอง” ทีมชาติเวียดนาม ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 47 รอบรองชนะเลิศ ที่ช้าง อารีนา จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่ 5 มิถุนายน เวลา 19.45 น. ถ่ายทอดสดทางไทยรัฐทีวี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ได้มีการแถลงข่าวก่อนการแข่งขันอย่างเป็นทางการ โดยเวียดนามส่ง ปาร์ค ฮัง ซอ หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ กับ คู ง็อก ไฮ กัปตันทีมแถลง
ปาร์ค ฮัง ซอ กล่าวว่า อันดับแรกขอแก้ไขข้อเข้าใจผิดที่ว่าเวียดนามไม่ให้ความสำคัญกับรายการนี้ จริงๆ แล้วตัวเองนั้นให้ความสำคัญกับรายการนี้มาก เพราะเป็นรายการที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี มีความสำคัญอย่างมาก การได้เข้าร่วมแข่งขันไม่ว่าจะเป็นนักเตะหรือโค้ชล้วนเป็นเกียรติทั้งสิ้น เชื่อว่าการสื่อสารที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง เลยทำให้ถูกเข้าใจผิดมากกว่า
เฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้ กล่าวต่อว่า ทีมชาติไทยถือว่าเป็นทีมระดับท็อปของอาเซียน และยังเป็นทีมชั้นนำของเอเชีย การได้เจอกับทีมชาติไทยจะเป็นการวัดผล เรียนรู้ และได้ลองทีมอย่างจริงจัง จากที่ก่อนหน้านี้คลาดกันมารตลอด และจะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดในเกมนี้
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการที่ทีมไทยขาดชนาธิป สรงกระสินธ์ ส่งผลอะไรต่อการเตรียมทีมหรือไม่ ปาร์ค ซัง ฮอ กล่าวว่า ตนรู้ดีว่าชนาธิปนั้นเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถ มีชื่อเสียง และเป็นคนสำคัญของทีมชาติไทย แต่เวียดนามจะเล่นตามสไตล์ตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด แม้ว่าคู่แข่งจะขาดผู้เล่นตัวหลักก็ตาม
เฮดโค้ชทีมดาวทอง ปิดท้ายว่า สิ่งที่เคยพูดไว้ว่าไม่กลัวทีมชาติไทยนั้น มันคือการปลุกใจนักเตะอย่างหนึ่ง และพูดเสมอไม่ว่าจะเจอคู่แข่งทีมใด ยังคงยืนยันว่าไทยเป็นทีมที่แข็งแกร่งเสมอ จะพยายามสำหรับเกมนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร แต่สำคัญที่สุดคือการได้ทำอย่างเต็มที่ เก็บประสบการณ์ไปสู่ทัวร์นาเมนต์ต่อไป
ด้าน คู ง็อก ไฮ กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาทีมชาติเวียดนามประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้นักเตะในทีมล้วนมีความมั่นใจในเกมนี้ ในศึกคิงส์คัพที่จะได้เจอกับทีมชาติไทยนั้นถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองทีม เก็บประสบการณ์ เพื่อเตรียมเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์คัดเลือกฟุตบอลโลกต่อไป
“การมาเตะคิงส์คัพถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ยังเชื่อมั่นว่าทีมชาติไทยคือทีมที่ดีเช่นเดิม ดังนั้นจะตั้งใจทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม”
ติดตามข่าวเด็ดกีฬาดัง ทาง Line@ มติชนกีฬา (@matisport) คลิกเลย
