สุดยอด 5 ทีมลูกหนังม้ามืด

สุดยอด 5 ทีมลูกหนังม้ามืด

จากการที่ทีม “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเจ้าของสโมสรเป็นกลุ่มนักลงทุนจากประเทศไทย กำลังมีลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ตอกหน้าบรรดายักษ์ใหญ่ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล, เชลซี และลิเวอร์พูล กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในเวลานี้ ส่งผลให้คอบอลขาประจำ และขาจรทั้งหลาย ต่างเอาใจช่วย “ม้ามืด” ในคราบสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ไม่น้อย

ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่อยากจะย้ำเตือนเพื่อให้กำลังใจหนึ่งในทีมที่มีหัวใจเป็นคนไทยด้วยกันอย่างเลสเตอร์ ว่า เหตุการณ์ที่ทีมฟุตบอลเล็กๆ ได้ขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

และต่อไปนี้คือ “ที่สุด” ของ 5 ทีมเท่าที่เคยมาในวงการลูกหนังบนโลกใบนี้

“5.เวโรน่า”

ไม่ว่าวงการลูกหนังอิตาลีทั้งในปัจจุบันและอดีตจะสกปรกแค่ไหน หลัง 4 ทีมยักษ์ใหญ่ อย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, ฟิออเรนติน่า และลาซิโอ ถูกจับได้ (ย้ำว่าเฉพาะที่ถูก “จับได้”!) ว่ามีส่วนพัวพันกับการ “ล้มบอล” ในเกมลีกฤดูกาล 2005-2006 จนโดนตัดแต้มกันบานตะไท โดยเฉพาะรายแรกซึ่งปิดซีซั่นด้วยตำแหน่งแชมป์ถูกหักทุกแต้มจนต้องตกชั้น

Advertisement

แต่อย่างน้อยก็มีฤดูกาลหนึ่งที่แชมป์ปราศจากข้อครหา หลังทีมเล็กๆ จากเมืองเหนืออย่าง “เวโรน่า” ที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้ 3 ปี ผงาดคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ในซีซั่น 1984-1985 ด้วยการแพ้แค่ 2 นัดได้อย่างเหลือเชื่อ

“4.ไกเซอร์สเลาเทิร์น”

การคว้าแชมป์ลีกอิตาลีของเวโรน่าอาจสุดยอดแล้ว แต่คงเป็นคนละเรื่องกับเส้นทางการชูถาดแชมป์บุนเดสลีก้า ฤดูกาล 1997-1998 ของ “ปีศาจแดง” แห่งเยอรมนี อย่าง “ไกเซอร์สเลาเทิร์น” ทั้งที่ 1 ปีก่อนหน้านั้น ลูกทีมของ “อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล” ยังเพิ่งตกชั้นไปอยู่ในศึกลีก้า 2 อยู่เลย

แถมผลงาน 4 ปีก่อนหน้านั้นของทีมยิ่งไม่ต่างกับลูกดิ่ง หลังมีลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ซีซั่น 1993-1994 และ 1994-1995 แต่จู่ๆ ก็หล่นชั้นในซีซั่น 1995-1996 ก่อนได้เรห์ฮาเกลที่เพิ่งโดนบาเยิร์น มิวนิก เฉดหัวออกมา พากลับมายังบุนเดสลีก้าในฐานะแชมป์ลีก้า 2 แล้วตบหน้า “เสือใต้” ทีมเก่าด้วยการคว้าแชมป์ลีกทันที

Advertisement

“3.น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์”

ยังอยู่ในข่ายเดียวกับเวโรน่า และไกเซอร์สเลาเทิร์น แต่ที่ยกให้ “เจ้าป่า” “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์” ชุดแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ ฤดูกาล 1977-1978 เหนือกว่า 2 ทีมแรก ก็เพราะความหนักหน่วงของฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งนอกจากจะไล่หวดกันในสนามราวกับหนังบู๊แล้ว ยุคนั้นยังเต็มไปด้วยโปรแกรมเตะมากกว่าลีกเยอรมนี และอิตาลีแบบไม่เห็นฝุ่น (อังกฤษ 42 นัด, เยอรมนี 34 นัด และอิตาลี 30 นัด)

หลัง “ไบรอัน คลัฟ” กุนซือหนุ่มแต่ “ปากจัด” ในขณะนั้น ใช้เวลาแค่ซีซั่นเศษกับการพาฟอเรสต์คืนสู่ศึกดิวิชั่น 1 ไม่พอ ยังคว้าแชมป์ลีกได้ทันควัน ตามด้วยแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 ครั้งติดใน 2 ฤดูกาลถัดมา

“2.กรีซ”

ขณะที่อันดับ 2 เป็นเหตุการณ์ระดับชาติที่ทีมลูกหนัง “กรีซ” หักปากกาเซียน “ทุกด้าม” บนโลกใบนี้ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2004 ส่วนคนคุมทีมก็ไม่ใช่ใครหน้าไหนเป็นชายที่ชื่อ อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล อีกแล้ว! ก่อนแข่งครั้งนี้กุนซือจอมพเนจรถูกตราหน้าว่า “ฟลุก” กับการพาไกเซอร์สเลาเทิร์นได้แชมป์ลีก หลังทำกรีซตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002

แต่เรห์ฮาเกลก็ตบปากนักวิจารณ์กับการผ่านรอบคัดเลือกศึกยูโรในฐานะแชมป์กลุ่ม และรองแชมป์กลุ่มในรอบสุดท้าย ตามด้วยการชนะฝรั่งเศสแชมป์เก่า และสาธารณรัฐเช็กรองแชมป์ 1996 ในรอบน็อกเอาต์ ก่อนปิดจ็อบน็อกโปรตุเกสเจ้าภาพกับเกมชิงดำ

“1.เดนมาร์ก”

แต่ที่ต้องยกให้เป็นอันดับ 1 จริงๆ คือผู้ที่ให้กำเนิดคำว่า “ม้ามืด” หรือถ้าเรียกให้ดูเป็นผู้ดีขึ้นมาหน่อยก็ต้องใช้คำว่า “เทพนิยาย” กับการคว้าแชมป์ยูโร 1992 ของทีมชาติ “เดนมาร์ก” ซึ่งไม่ได้สิทธิเล่นแม้กระทั่งรอบสุดท้าย!

ทว่าแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกที่ทีม “โคนม” อยู่ด้วยอย่าง “ยูโกสลาเวีย” ที่กำลังผจญกับสงครามกลางเมืองในประเทศ โดนแบนก่อนแข่งแค่ 10 วัน ส่งให้เดนมาร์กได้เป็น “มวยแทน” ชนิดที่ผู้เล่นหลายคนต้องรีบเดินทางกลับมาจากพักร้อน โดยหารู้ไม่ว่าการเตรียมทีมไม่ถึง 2 อาทิตย์ครั้งนี้ จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกลูกหนังตลอดกาล

หลังทีมของ ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น จูงมือสวีเดนเจ้าภาพผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่มีทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ ก่อนชนะดวลเป้า 5-4 จากการเสมอเนเธอร์แลนด์ แชมป์เก่า ในรอบตัดเชือก 2-2 และผงาดแชมป์ด้วยการอัดเยอรมนี ซึ่งมีศักดิ์ศรีเป็นถึงแชมป์โลกในเวลานั้นไปแบบหมดจด 2-0 กลายเป็น “เทพนิยายเดนส์” มาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนเจ้า “จิ้งจอกสยาม” จะเดินตามรอยทีมเหล่านี้ได้หรือไม่? อีกไม่นานคงได้รู้กัน!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image