ขุนพล “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมาได้ หลังจากช่วยกันรวมใจเฉือนเอาชนะ บาห์เรน 1-0 เก็บ 3 แต้มสำคัญในศึก “เอเชี่ยนคัพ 2019” ต่อความหวังในการเข้ารอบไปได้
เกมนี้ทีมชาติไทยต่างไปจากเกมแรกที่พวกเขาพ่ายให้กับอินเดียแบบสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ตัวผู้เล่นเองก็ไม่ได้แตกต่างไปมากนัก ดังนั้นจะมาดูกันว่าเหตุผลที่ทำให้ทีมชาติไทยเอาชนะในเกมนี้ได้ มีอะไรบ้าง
1.เปลี่ยนระบบ
เกมนัดแรกของกุนซือคู่อย่าง “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ พวกเขาเปลี่ยนระบบการเล่นของทีมชาติไทยจากเดิมของมิโลวาน ราเยวัช ที่มักจะเล่น 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 หันมาใช้ระบบแบบ 3-5-2 ซึ่งเน้นเรื่องของเกมรับเป็นหลัก
ฟังแล้วอาจจะแปลกใจ ใช่ครับ ทีมชาติไทยเกมนี้ยังเน้นเรื่องของเกมรับ เพราะนี่คือเกมที่มีความสำคัญอย่างมาก ถ้าแพ้หมายถึงตกรอบ 99.99 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว ดังนั้นจึงเน้นแบบปลอดภัยไว้ก่อน กับการเล่นในระดับเอเชีย ถ้าโดนก่อนอาจจะทำให้กลับมาได้ยาก
แถมนี่ยังเป็นการแจ้งเกิดให้กับสุพรรณ ทองสงค์ เซนเตอร์ที่มีความสูง สามารถเก็บลูกกลางอากาศจากคู่แข่งได้หลายครั้ง อาจจะยังมีเข้าบอลผิดพลาดจนโดนใบเหลืองไป แต่ก็ยังมีสติรักษาวินัยในเกมรับของตัวเองช่วงที่เหลือได้ดี
2.จังหวะเข้าทำของบาห์เรน
อันนี้ก็ต้องบอกว่าด้วยคู่แข่งอย่างบาห์เรนเอง ส่วนใหญ่เน้นวางบอลยาวมาเก็บตกจากจังหวะสอง แล้วจ่ายทะลุช่อง ซึ่งส่วนใหญ่มาแนวนี้ตลอด ทำให้พอไทยเริ่มจับจังหวะได้ โอกาสในการบุกของบาห์เรนก็ลดลง
แถมยังไม่มีการพลิกแพลง เปลี่ยนวิธีการเข้าทำ เลยกลายเป่็นว่ายิ่งบุกมันก็ยิ่งตัน ทำให้ไทยที่ตัดบอลได้มากขึ้น เป็นฝ่ายบุกสวนกลับขึ้นมามีโอกาสทำประตูเพิ่มมากกว่า ซึ่งถ้าคมๆ กันกว่านี้ ไทยอาจจะไม่ต้องลุ้นจนนาทีสุดท้ายก็ได้
3.ชนาธิป สรงกระสินธ์
เชื่อขนมกินได้เลยว่าถ้าวันใดที่ดาวเตะผู้สะท้ายเจลีก ญี่ปุ่น อย่างชนาธิป สามารถมีพื้นที่เล่น พร้อมกับขับเคลื่อนทีมได้ ทีมชาติไทยก็พร้อมจะเอาชนะได้เช่นกัน
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการปรับแผนการเล่นมาเป็นระบบ 3-5-2 ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับระบบที่คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ใช้งานอยู่ในตอนนี้ ทำให้ชนาธิปสามารถเล่นได้เป็นตัวเองมากขึ้น และจังหวะเข้าทำประตูชัยนั้น ถ้าใครที่เคยดูชนาธิปเล่นในเจลีกมา แทบจะไม่ต่างจากประตูที่เขาทำได้เลย
จริงอยู่ที่ไม่อยากให้ทีมชาติไทยพึ่งชนาธิปมากไป แต่ก็คงต้องบอกว่าถ้าไม่คอขาดบาดตาย อย่าทะลึ่งเปลี่ยนตัวเขาออกจากสนามจนกว่าจะจบเกมหล่ะ
4.ผู้รักษาประตู
เกมวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกหนึ่งตำแหน่งนั่นก็คือผู้รักษาประตู โดยใช้ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ลงเล่นแทน ฉัตรชัย บุตรพรม ที่นัดแรกดูจะมีอาการตื่นสนาม และก่อความผิดพลาดหลายจังหวะ
ซึ่งศิวรักษ์ก็ไม่ทำให้โค้ชโต่ยผิดหวัง ในวันนี้เขาเล่นได้นิ่งสมกับที่เคยผ่านการเล่นในระดับเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก มาเป็นเวลาหลายฤดูกาล แถมช็อตที่เข้าตาที่สุดคือการเซฟลูกยิงของอาลี จาฟาร์ และเป็นเซฟสำคัญที่ทำให้ไทยเก็บคะแนนได้ด้วย
ถ้าเล่นได้แบบนี้ น่าจะการันตีตัวจริงในเกมต่อไปไว้ได้เลย
5.ทุกคนรวมใจกันเล่น
จากผลงานความพ่ายแพ้ในเกมแรกที่ถูกกระแสลบจากสังคมค่อนข้างมาก แม้ว่าจะไม่ได้ลงมาที่ตัวนักเตะโดยตรง แต่พวกเขาคือคนที่อยู่ในสนามที่ต้องแบ่งรับกับมันด้วย
ซึ่งเกมนี้พวกเขาก็ถือว่าแก้ตัวจากเกมแรกได้ดี อาจจะเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่เข้าทางมากขึ้น หรือความหลังพิงฝาที่เกมนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีแต้มให้ได้ จึงทำให้นักเตะทุกคนวิ่งกันแบบเกิน 100 เปอร์เซ็นต์
ทุกคนช่วยกันบีบ ช่วยกันไล่ มีคนเข้ามีคนซ้อนกันตลอด กระหายในชัยชนะมากกว่าบาห์เรน คิดดูขนาดธีรศิลป์ แดงดา ยังวิ่งลงมาช่วนปิดพื้นที่ด้านขวา ช่วยเพื่อนซ้อนเล่น และทุกคนวิ่งกันตั้งแต่นาทีแรกจนนกหวีดหมดเวลา ได้ใจแฟนบอลกันแบบสุดๆ นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ทีมชาติไทยกลับมาชนะในวันนี้
6.บอลเปลี่ยนโค้ช
หลายๆ ครั้งเวลาเราดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือบอลยุโรปต่างๆ เรามักจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่าบอลเปลี่ยนโค้ช นัดแรกภายใต้การเปลี่ยนโค้ชใหม่มักจะเก็บผลการแข่งขันที่ดีได้เสมอ
ซึ่งนี่มันก็เกิดขึ้นกับทีมชาติไทยเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เบื้องลึกเบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นกับมิโลวาน ราเยวัช แต่พอเปลี่ยนโค้ชไปแล้ว เห็นได้ชัดว่านักเตะมีความเปลี่ยนไปในการเล่น พร้อมจะวิ่งอย่างเต็มที่ และใส่กันแบบเต็มทึี
ก็ต้องให้คำชมทั้งโค้ชโต่ย และโค้ชโชค รวมถึงทีมงานทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในทีม ที่ช่วยกันดึงสภาพจิตใจของช้างศึกตัวนี้กลับมาเป็นตัวของตัวเองกันได้อีกครั้ง และเหมือนฟื้นจากเงามืดที่พลาดในซูซูกิคัพกันได้อย่างเต็มตัว
แบบนี้นัดสุดท้ายบอกเลยว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน
ติดตามข่าวเด็ดกีฬาดัง ทาง Line@ มติชนกีฬา (@matisport) คลิกเลย
