คอลัมน์เกรียนเขียนบอล : ศึกวัดใจ

ศึกเอฟเอคัพ อังกฤษ รอบ 4 ระหว่าง อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นบิ๊กแมตช์ที่สุดของรอบนี้ เพราะถ้าทีมไหนคว้าชัยชนะได้ ความมั่นใจและโอกาสที่จะไปถึงแชมป์เปิดกว้างทีเดียว

อาร์เซน่อลน่าจะมีแรงจูงใจกับแมตช์นี้มากกว่า อย่างแรกเพราะได้เล่นในเอมิเรตส์ สเตเดียม เสียงเชียร์ย่อมได้เปรียบกว่า และสถิติการรับมือแมนฯยูในถิ่นตัวเอง 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ทีมปืนใหญ่ชนะมาได้ 2 ครั้ง แพ้ 1 ครั้ง รวมทั้งรายการนี้น่าจะเป็น 1 ใน 2 เป้าหมายที่มีโอกาสไปถึงแชมป์ในฤดูกาลนี้ อีกรายการ คือ ยูโรป้าลีก ส่วนพรีเมียร์ลีกต้องยอมรับว่าโอกาสแทบปิดตาย

อูไน เอเมอรี่ กุนซือปืนใหญ่น่าจะเน้นไปที่เอฟเอคัพมากที่สุด การเป็นแชมป์ยูโรป้าลีก อาจจะเป็นการการันตีโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า แต่โอกาสที่พวกเขาจะจบท็อป 4 ของลีกก็ยังเป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นการคว้าแชมป์เอฟเอคัพน่าจะเป็นการประเดิมฤดูกาลแรกของเอเมอรี่ที่ไม่เลวนัก

แมนฯยูของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ แสดงให้เห็นแล้วว่า เกมรับยังเป็นปัญหาใหญ่ของทีม 2 เกมหลังสุดโดนสเปอร์สกับไบรตันบุกแหลก ก็แทบจะโงหัวไม่ขึ้น โชคดีที่ได้ประตูนำก่อนทุกแมตช์ในยุคของโซลชาร์ และ ดาบิด เด เกอา กลับมาเหนียวอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเกมรุกของอาร์เซน่อลก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ขาดความสม่ำเสมอ บางนัดก็ยิงถล่มทลาย บางแมตช์ชนะทีมใหญ่ได้ และบางเกมก็กลับโดนทีมเล็กกว่าสอยเอาดื้อๆ ในขณะที่แมนฯยูเหนือกว่าตรงความสม่ำเสมอในแนวรุก

Advertisement

เจ้าบ้านจะไม่มี เฮนริกห์ มคิตาร์ยาน เพลย์เมกเกอร์เด็กเก่าของแมนฯยู เอคตอร์ เบเญริน แบ๊กสเปนที่เจ็บพักยาวหลายเดือน แต่ เมซุต โอซิล น่าจะกลับมายืนตัวจริงอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ลงในเกมที่ชนะเชลซี 2-0

ทีมปีศาจแดงจะได้ใช้บริการ อเล็กซิส ซานเชซ อดีตแข้งอาร์เซน่อลในเกมนี้อีกครั้ง หลังจากกลับมาฟิตพร้อมลงเล่นแล้ว แถมนักเตะคนสำคัญยังอยู่กันพร้อมหน้า

สถิติการเจอกันในเอฟเอคัพ 14 ครั้ง ผลัดกันแพ้-ชนะทีมละ 7 ครั้ง แต่อาร์เซน่อลก็ทำได้ดีในฟุตบอลรายการนี้มาโดยตลอด คว้าแชมป์มาแล้ว 13 สมัย มากที่สุดในทุกทีมของเกาะอังกฤษ ส่วนแมนฯยูแม้จะเข้าชิงเมื่อปีที่แล้ว ก็อกหักแพ้เชลซี

Advertisement

กุนซือขัดตาทัพอย่างโซลชาร์ไม่ได้อยู่ในจุดที่ถูกกดดันเหมือนเอเมอรี่ ที่ต้องมีแชมป์เพื่อพิสูจน์ว่าเขาดีพอกับการมาสานงานต่อจาก อาร์แซน เวงเกอร์

อาร์เซน่อลเจอทั้งความไม่สม่ำเสมอและความกดดันมาค้ำคอ แถมนักเตะตัวหลักเจ็บไปหลายคน สวนทางกับแมนฯยูที่หลังรั่วแต่หน้าคม และนักเตะพร้อมกว่า เว้นแต่ว่าดาบิด เด เกอา จะได้พัก และให้ เซร์คิโอ้ โรเมโร่ เฝ้าเสาแทน แต่โรเมโร่ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดในบอลถ้วย

งานนี้ต้องวัดกันที่ความกระหายชัยชนะของนักเตะล้วนๆ ทีมไหนมีมากกว่าโอกาสไปสู่รอบที่ 5 ก็ย่อมมีสูง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image