เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง การแข่งขัน ซุปเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 54 ก็จะระเบิดศึกอย่างเป็นทางการ ที่ฮาร์ดร็อค สเตเดียม เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ หรือตรงกับเวลาไทยในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์
การแข่งขันครั้งนี้เป็นซุปเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 54 ก็จริง แต่เมื่อนับรวมการเล่นลีกอเมริกันฟุตบอลอาชีพตั้งแต่ก่อนก่อตั้งองค์กร เอ็นเอฟแอล นี่จะเป็นการปิดฉากลีกคนชนคนแห่งชาติฤดูกาลที่ 100 ของเมืองมะกัน
สำหรับซุปเปอร์โบว์ลหนนี้ สองทีมที่จะแย่งชิงความเป็นหนึ่งกันคือ ซานฟรานซิสโก ฟอร์ตี้ไนเนอร์ส แชมป์สายเอ็นเอฟซี กับ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ แชมป์สายเอเอฟซี
สำหรับไนเนอร์ส นี่เป็นการเข้าถึงรอบชิงซุปเปอร์โบว์ลหนที่ 7 ในประวัติศาสตร์ทีม ซึ่งหากพวกเขาทำได้สำเร็จ ก็จะทาบสถิติแชมป์สูงสุดตลอดกาล 6 สมัย ของ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ และ พิตสเบิร์ก สตีลเลอร์ส ทันที โดยที่ผ่านมา ไนเนอร์สเคยได้แชมป์ 5 สมัยในปี 1981, 1984, 1988, 1989 และ 1994 แต่การเข้าชิงหนล่าสุดเมื่อปี 2012 พ่ายให้ บัลติมอร์ เรฟเว่นส์
ส่วนฝั่งชีฟส์นั้นรอคอยนานกว่ามาก เพราะนี่เป็นการเข้าชิงหนแรกในรอบ 50 ปีของทีม ครั้งสุดท้ายที่มาไกลขนาดนี้ต้องย้อนไปเมื่อปี 1970 ซึ่งทีมเอาชนะ มินนิโซตา ไวกิ้งส์ คว้าถ้วยวินซ์ ลอมบาร์ดี สมัยแรกและสมัยเดียวในประวัติศาสตร์ของทีม
หมายความว่าถ้าชีฟส์คว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก็จะหยุดสถิติร้างแชมป์นานที่สุดอันดับ 2 ลงได้ทันที
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีอยู่ 9 ทีมที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์ซุปเปอร์โบว์ลแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถ้านับทีมที่เคยคว้าแชมป์มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ทีมที่รอคอยมานานกว่าชีฟส์ก็คือ นิวยอร์ก เจ๊ตส์ ที่ห่างแชมป์มานาน 51 ปีแล้วนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ ถึงสถิติในฤดูกาลปกติ ไนเนอร์สจะเหนือกว่านิดๆ คือ ชนะ 13 แพ้ 3 ส่วนชีฟส์ชนะ 12 แพ้ 4 แต่บ่อนพนันถูกกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ยกให้ชีฟส์เป็นต่อเล็กน้อย 1 แต้ม
อาจจะเพราะผลงานก่อนเข้าถึงซุปเปอร์โบว์ลนั้นถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งการพลิกสถานการณ์กลับมาชนะ ฮุสตัน เท็กซันส์ ทั้งที่ตามอยู่ 24 แต้ม ในรอบเพลย์ออฟ รวมถึงการแซงชนะ เทนเนสซี ไททันส์ 35-24 ในรอบชิงแชมป์สาย
ส่วนไนเนอร์สผลงานก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะการปราบ กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส 37-20 ในรอบชิงแชมป์สายเอ็นเอฟซี อีกทั้งยังเป็นการฟื้นคืนชีพได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งที่ฤดูกาลที่แล้ว ไนเนอร์สปิดฤดูกาลปกติด้วยสถิติแพ้ถึง 12 นัด ชนะเพียง 4 นัดเท่านั้น
กุญแจสำคัญที่ทำให้ไนเนอร์สมาไกลขนาดนี้ได้เพราะเกมรับอันยอดเยี่ยม โดยฤดูกาลนี้ ทีมรับของไนเนอร์สทำสถิติเสียระยะให้คู่แข่งน้อยที่สุด 252.5 ครั้งต่อเกม และยังแซ็คควอเตอร์แบ๊กคู่แข่งได้มากที่สุด 9 ครั้ง ภาพรวมทีมรับไนเนอร์สเป็นอันดับ 1 ของรอบเพลย์ออฟ และอันดับ 2 ของฤดูกาลปกติ
เรียกว่าเป็นการเผชิญหน้าที่สมน้ำสมเนื้อทีเดียว เพราะชีฟส์เองก็เป็นทีมที่มีสถิติทำระยะจากการขว้างดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกฤดูกาลนี้ที่ค่าเฉลี่ย 304.5 หลาต่อเกม และทำแต้มในรอบเพลย์ออฟได้ไม่ต่ำกว่าเกมละ 35 แต้ม
แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ๊กของชีฟส์ เรียกเสียงฮือฮาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนด้วยการขว้างถึง 50 ทัชดาวน์ จนคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (เอ็มวีพี) ฤดูกาลปกติ มาฤดูกาลนี้ขว้างไปแล้ว 26 ครั้งในฤดูกาลปกติ เพราะพลาดลงสนามบางนัดเนื่องจากเจ็บเข่าและขว้าง 8 ทัชดาวน์ กับทำระยะรวม 615 หลา ในช่วงเพลย์ออฟ เป็นสถิติสูงสุดอันดับ 2 ในกลุ่มควอเตอร์แบ๊ก
แต่จุดเด่นของมาโฮมส์ไม่ได้มีดีแค่สถิติการขว้างอย่างเดียว เขายังขึ้นชื่อเรื่องการขว้างในมุมแปลกๆ ในสถานการณ์คับขัน แถมยังวิ่งเองได้เก่งไม่แพ้ตัววิ่งด้วยเช่นกัน จึงต้องรอดูว่าทีมรับของไนเนอร์สที่โดดเด่นในฤดูกาลนี้จะหยุดความร้อนแรงของมาโฮมส์ได้หรือไม่
ในส่วนเกมรุกของไนเนอร์สนั้น เน้นการทำเกมจากการวิ่งเป็นหลัก โดยเป็นทีมที่มีสถิติการวิ่งดีที่สุดของรอบเพลย์ออฟ 235.5 หลาต่อเกม
ตัววิ่งแนวหน้าของทีมคือ ราฮีม มอสเทิร์ต ซึ่งในเกมชิงแชมป์สาย วิ่งไปถึง 220 หลา กับ 4 ทัชดาวน์ หวุดหวิดจะทุบสถิติดีที่สุดตลอดกาลของรอบเพลย์ออฟเอ็นเอฟแอลเลยทีเดียว
ขณะที่ควอเตอร์แบ๊ก จิมมี่ การ็อปโปโล ของไนเนอร์ส เคยมีแหวนซุปเปอร์โบว์ล 2 วงก็จริง แต่ก็อยู่ในฐานะตัวสำรองของ ทอม เบรดี้ ตำนานมือขว้างของ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ มาโดยตลอด เกมนัดชิงซุปเปอร์โบว์ลครั้งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่เจ้าตัวตั้งใจเป็นพิเศษ
ว่ากันว่าครั้งนี้หลายคนเอาใจช่วยชีฟส์เพราะอยากให้ แอนดี้ รีด เฮดโค้ชของชีฟส์ประสบความสำเร็จเสียที หลังจากเคยพา ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ เข้าชิงซุปเปอร์โบว์ลปี 2004 แต่อกหักพ่ายแพทิออตส์ และคนในวงการยกย่องรีดว่าเป็นเฮดโค้ชที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นเอฟแอลที่ยังไม่เคยได้แชมป์ซุปเปอร์โบว์ล
ส่วน ไคล์ ชานาแฮน เฮดโค้ชของไนเนอร์สยังใหม่กับซุปเปอร์โบว์ล แต่พ่อของเขาเคยเป็นโค้ชทีมบุกของไนเนอร์สชุดแชมป์ปี 1994 รวมถึงเคยคุม เดนเวอร์ บรองโกส์ คว้าแชมป์ 2 สมัยในปี 1997-1998 ด้วย จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พ่อกับลูกพาทีมเข้าซุปเปอร์โบว์ลในต่างยุคกัน
อีกหนึ่งไฮไลต์น่าสนใจในซุปเปอร์โบว์ลครั้งนี้ คือโชว์ช่วงพักครึ่งซึ่งจะเป็นการผนึกกำลังกันของสองสาวเท้าไฟสะโพกดินระเบิด ชากีรา และ เจนนิเฟอร์ โลเปซ
เชื่อว่าจะร้อนแรงไม่แพ้เกมการแข่งขันในสนามเลยทีเดียว!
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่