หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ “เซอร์ไพรส์” ที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ คือตอนที่ เอฟเวอร์ตัน ประกาศแต่งตั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ เป็นกุนซือคนใหม่เมื่อเดือนธันวาคมปี 2019 หลังจาก มาร์โก้ ซิลวา โดนปลดจากตำแหน่ง
ตอนนั้นหลายคนต่างตั้งคำถาม ว่าผู้จัดการทีมที่ผ่านงานคุมทีมระดับบิ๊กเนมของโลกลูกหนังอย่าง รีล มาดริด, ยูเวนตุส, เชลซี, เอซี มิลาน, บาเยิร์น มิวนิก, ปารีส แซงต์แชร์แมง รวมถึงเคยชูถ้วยแชมป์ยุโรปมาแล้ว 3 สมัย เหตุใดจึงตัดสินใจรับงานคุมทีมที่หลุดเข้าไปในโซนตกชั้น อีกทั้งทุนทรัพย์ยังไม่ได้หนาให้พอจับจ่ายในช่วงที่ทีมกำลังไร้ทิศทางแบบนี้?
บ้างถึงขั้นเย้ยหยันว่า ยอดโค้ชชาวอิตาเลียนอาจจะเอาชื่อมาทิ้งที่กูดิสันปาร์กเสียก็ได้!?!
จากวันนั้นถึงวันนี้ อันเช่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดแต่อย่างใด เขาคุมทีมเอฟเวอร์ตันมา 9 นัด มีสถิติชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 2 ผลงาน 5 นัดหลังสุดในเกมลีกยังไม่แพ้ใคร
เอฟเวอร์ตันไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 7 ของตาราง มี 36 คะแนน จาก 26 นัด อาจจะเตะมากกว่าทีมในกลุ่ม “บิ๊ก 6” อยู่ 1 นัด แต่ก็มีแต้มตามหลังทีมอันดับ 4 เชลซี ซึ่งเตะ 25 เกม อยู่เพียง 5 แต้มเท่านั้น
ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าทีมจะมีลุ้นติดโควต้าไปเล่นถ้วยยุโรป ซึ่งถ้ามองความเป็นไปได้ตามหลักความจริง การลุ้นไปยูโรป้าลีกน่าจะมีโอกาสมากกว่า
สถิติที่น่าสนใจอีกประการคือ ตั้งแต่อันเช่เข้าไปกุมบังเหียนทีมท็อฟฟี่นั้น จากจำนวนนัดที่ลงสนามในช่วงเวลาเดียวกัน มีเพียง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงไร้เทียมทานของพรีเมียร์ลีกเวลานี้เท่านั้นที่ทำแต้มได้มากกว่าเอฟเวอร์ตัน หลังจากอันเช่พาทีมโกยแต้มไปทั้งสิ้น 17 คะแนน
สำนักข่าว บีบีซี พยายามหาเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกโฉมของทีมท็อฟฟี่เมนหลังจากได้อันเช่เข้าไปคุมทีม ประการแรกสุดนั้นคือบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างโค้ชคนใหม่กับคนเก่า
ในยุคของมาร์โก้ ซิลวา ว่ากันว่ากุนซือชาวโปรตุกีสเป็นคนค่อนข้างซีเรียส จริงจัง จนเหมือนหุ่นยนต์ ขณะที่อันเช่จะผ่อนคลายกว่า รู้ว่าเมื่อไรควรจะดุ เมื่อไรควรจะพูดคุยเล่นหัวกับลูกทีม
ธีโอ วัลค็อตต์ กองหน้าตัวเก๋าเผยว่า ก่อนเกมกับ **วัตฟอร์ด** เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว โค้ชเข้ามาคุยกับตน แซวว่า “ธีโอ ยิงประตูได้นะ ไม่มีใครว่า” ซึ่งประโยคนี้ทำเอาตนหัวเราะออกมาและรู้สึกรีแล็กซ์มาก ชวนให้นึกถึง อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่สมัยอยู่ อาร์เซน่อล เพราะทั้ง 2 คนมักจะพูดอะไรที่ชวนให้เอาไปคิดต่อ
ปรากฏว่าเกมวันนั้น วัลค็อตต์ก็ยิงได้จริงๆ เป็นประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ช่วยให้เอฟเวอร์ตันเฉือนชัย 3-2
บีบีซีชมว่า อันเชล็อตติมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเข้าอกเข้าใจในตัวลูกทีม และความกระหายที่จะยกระดับการเล่นของทีมขึ้นมา
การที่เขาเคยผ่านประสบการณ์การคว้าแชมป์ยุโปรมาแล้ว 3 สมัยก็มีส่วนทำให้แต่ละคำพูดของกุนซือวัย 60 ปี มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ
ในยุครุ่งเรือง เขาอาจจะคุมทีมใหญ่ๆ ที่มีซุปเปอร์สตาร์มากมาย แต่ผลงานการคุมท็อฟฟี่เมนในตอนนี้ชวนให้หลายคนหัวคิดถึงสมัยเขาเริ่มต้นงานโค้ชใหม่ๆ กับทีม ปาร์ม่า เสียมากกว่า
ผู้สังเกตการณ์เผยว่า การซ้อมที่ศูนย์ซ้อมฟินช์ฟาร์มของเอฟเวอร์ตันแต่ละครั้ง จะค่อนข้างสั้น กระชับ แต่เฉียบคม ตรงประเด็น ต่างจากการซ้อมที่ยืดเยื้อยาวนานของซิลวาซึ่งทำให้นักเตะหลายคนรู้สึกเบื่อ
แถมกรณีซิลวายังบังคับช่วงเวลาการทานอาหารของลูกทีม ราวกับอยู่ในค่ายทหาร ขณะที่อันเช่อนุญาตให้นักเตะผ่อนคลายได้ แม้แต่จะไปเที่ยวกลางคืนก็ไม่ว่า ตราบใดที่ดูแลตัวเองดี และสามารถมาฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่ในวันรุ่งขึ้น โดยไม่กระทบกับฟอร์มของตัวเอง
วัลค็อตต์เล่าว่า นักเตะทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย กล้าที่จะเข้าไปคุยกับเขา แต่ก็ไม่ใช่ว่ากุนซือชาวอิตาเลียนจะชิลๆ ไปเสียหมด บทจะโหดขึ้นมาก็เอาเรื่อง
แข้งเมืองผู้ดียกตัวอย่างเกมเตะกับ เวสต์แฮม ตอนเสมอกัน 1-1 ในช่วงพักครึ่ง อันเช่อบรมลูกทีมชุดใหญ่
แต่ไม่ใช่มุมสนุกหรือมุมโหดอย่างเดียว อันเช่ยังมีความนิ่ง เข้าใจโลกซึ่งทำให้ได้ใจลูกทีมเข้าไปอีก
อย่างเกมเสมอ นิวคาสเซิล 2-2 ทั้งที่ทีมขึ้นนำไปก่อน 2 ประตู อันเช่เปรียบเทียบสถานการณ์ดังกล่าวกับตอนเขาคุมเอซี มิลาน
ที่นำหงส์แดง 3 ลูกในช่วงครึ่งแรก แต่กลับโดนตีเสมอจนสุดท้ายพ่ายแพ้ในนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2005
“บางครั้งก็มีเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ในกีฬาฟุตบอล” นั่นคือบทสรุปของยอดโค้ชวัย 60 ปี
อย่างไรก็ตาม แค่บุคลิกต่างจากโค้ชคนก่อน ย่อมไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
เมื่ออันเช่เข้าไปคุมทีม เขาก็เน้นแท็กติกที่ไม่ซับซ้อนหวือหวา แต่พยายามใช้ประโยชน์จากนักเตะเด่นๆ ในทีมให้ได้ฉายแววกันเต็มที่ บางคนที่เคยโดนมองข้ามสมัยซิลวาคุมทีมก็ให้โอกาส โดยคนที่โดดเด่นมากๆ ในทีมเวลานี้ อาทิ ริชาร์ลิสัน และ โดมินิค คาลเวิร์ต-เลวิน
อันเช่ยังมอบหมายความรับผิดชอบให้ “บิ๊กดั๊งก์” ดันแคน เฟอร์กูสัน ตำนานสโมสรซึ่งทำหน้าที่กุนซือขัดตาทัพอยู่ 2-3 นัดก่อนเขาเข้ารับตำแหน่ง
เฟอร์กูสันปรับระบบการเล่นของทีมในเวลานั้น จากระบบ 4-2-3-1 ของซิลวา เป็นสไตล์ดั้งเดิมอย่าง 4-4-2 ซึ่งด้วยสถานะความเป็นตำนานของทีมและแพชชั่นที่มีกับเอฟเวอร์ตัน ทำให้เขาเป็นที่รักและนับถือของนักเตะ
อันเช่ให้บิ๊กดั๊งก์เป็นมือขวาร่วมกับลูกชายของตัวเองคือ ดาวิเด้ ดูแลการฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด ช่วยในเรื่องการปลุกใจและสร้างขวัญกำลังใจได้ดี
เรื่องระบบ 4-4-2 ก็ไม่ได้ปรับอะไร เพราะอันเช่ชอบมากกว่าระบบเดิม เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนแท็กติกได้ง่าย เช่นบอกให้ปีกตัดเข้าไปเล่นตรงกลาง หรือให้ฟูลแบ๊กเติมเกมรุกมากขึ้น
เขายังเน้นให้เอฟเวอร์ตันพยายามทำเกมในแนวตั้งมากขึ้น แทนที่จะผ่านบอลขวางสนามไปมา ซึ่งสถิติจำนวนประตูและความพยายามในการยิงก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 2 เดือนที่เข้าไปคุมทีม แม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางบวก ก็ยังมีหลายอย่างที่รอการปรับปรุงแก้ไข
อันเช่ยอมรับว่า เอฟเวอร์ตันยังมีปัญหาเรื่องการคุมเกมให้ตลอดรอดฝั่ง การทำเกมจากแดนหลัง บางครั้งก็เกิดความสับสนในการประสานงาน
กระนั้น ภาพรวมที่ออกมาก็ยังถือว่าน่าพอใจ และเวลานี้เขาก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่การลุ้นโควต้ายูโรป้าลีกให้ได้
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ สเต็ปต่อไปคือการเสริมแกร่งในช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์นี้
ถึงจะไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้จับจ่ายเหมือนทีมใหญ่ๆ แต่ก็เป็นความเคลื่อนไหวน่าสนใจ และน่าจับตาว่า ท็อฟฟี่สีน้ำเงินฤดูกาลหน้า ภายใต้การคุมทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ จะไปได้ไกลขนาดไหน?