สกู๊ปพิเศษ : ใกล้ความจริง! ‘พรีเมียร์ลีก’ โปรเจ็กต์ รีสตาร์ต

ใกล้ความจริง! ‘พรีเมียร์ลีก’ โปรเจ็กต์ รีสตาร์ต

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีแนวโน้มจะกลับมาโชว์เพลงแข้งให้แฟนๆ ทุกคนให้ชมกันอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษเปิดไฟเขียวอนุญาตให้แข่งขันกีฬาได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจัดแข่งขันแบบปิด ห้ามแฟนๆ เข้าชมที่สนาม ให้รอเชียร์ทีมรักผ่านการถ่ายทอดสดแทน

คำถามที่ตามมาคือ เมื่อไหร่แฟนบอลจะเข้าชมการแข่งขันได้ ปัจจุบันยังไม่มีความแน่ชัด โดยตามเนื้อหาที่รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยแผนคลายล็อกดาวน์นั้น สถานที่และธุรกิจต่างๆ เช่น โรงภาพยนตร์และร้านทำผม จะกลับมาเปิดให้บริการตามแผนระยะที่ 3 ที่วางกำหนดไว้ในวันที่ 4 กรกฎาคมเป็นต้นไป

แต่มีรายละเอียดย้ำไว้ว่า สถานที่ความเสี่ยงสูงซึ่งมีคนไปรวมตัวกันจำนวนมาก และเป็นเรื่องยากต่อการควบคุมมาตรการเว้นระยะห่าง ซึ่งรวมถึงสนามกีฬา อาจยังไม่สามารถเปิดได้ หรือทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งคงต้องรอพิจารณาตามสถานการณ์ต่อไป

ทางเดียวที่จะควบคุมและลดความเสี่ยงจากโรคนี้ โดยที่ไม่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งรวมถึงการรวมตัวเชียร์ฟุตบอลได้อย่างสบายใจ คงต้องรอจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ออกมาให้ใช้นั่นแหละ

Advertisement

ทั้งนี้ ข่าวไฟเขียวแข่งต่อนั้นออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่พรีเมียร์ลีก เปิดประชุมร่วมกับตัวแทนจาก 20 สโมสรของลีกผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เกี่ยวกับความคืบหน้าในแผนเตะต่อช่วงปลายซีซั่น 2019-20 ซึ่งมีการเรียกกันว่า “โปรเจ็กต์ รีสตาร์ต”

Photo / AFP

โดยดิ อินดีเพนเดนท์ สื่อในอังกฤษรายงานว่า สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ได้ย้ำกับทุกสโมสร ว่าจะไม่มีการพิจารณาเรื่องโมฆะหรือยกเลิกการตกชั้นใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากทีมที่เสี่ยงตกชั้นจำนวนหนึ่งเคยออกมาเรียกร้องให้ไม่มีการตกชั้น

หากเกิดปัญหาขึ้นมาจนแข่งต่อไม่ได้ จนต้องตัดจบจริงๆ ก็อาจจะใช้การคิดคะแนนเฉลี่ยตัดสินอันดับต่างๆ เหมือนที่ลีกเอิง ฝรั่งเศสใช้ และแชมป์พรีเมียร์ลีกคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ลิเวอร์พูล

ในขณะที่ 3 ทีมตกชั้นก็จะกลายเป็น บอร์นมัธ, แอสตัน วิลล่า และ นอริช ซิตี้ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดปัญหาตามมาแน่นอน เพราะกลุ่มท้ายตารางทั้ง 6 ทีมนั้นมีแต้มเบียดกันสุดๆ เริ่มจากอันดับ 15 ไบรตัน มี 29 คะแนน ถัดมาอันดับ 16-18 อย่าง เวสต์แฮม,วัตฟอร์ด และบอร์นมัธ มี 27 แต้มเท่านั้น ต่างแค่ลูกได้เสีย ส่วนอันดับ 19 วิลล่า มี 25 คะแนน (เตะน้อยกว่าทีมอื่นๆ 1 นัด) และบ๊วยนอริชมี 21 แต้ม

อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของพรีเมียร์ลีกตอนนี้คือแข่งต่อให้จบเท่านั้น แค่จะเตะอย่างไรและเริ่มเมื่อไหร่นั่นเอง

อีกประเด็นที่ตกอยู่ในความสนใจมากที่สุดตอนนี้ คือการแข่งขันสนามกลาง ที่ทางการของอังกฤษชี้ช่องมา โดยหลังจากมีข่าวเรื่องสนามเป็นกลาง ทำให้สื่อในอังกฤษคาดเดาสเตเดียมที่มีโอกาสใช้เป็นสนามกลาง ได้แก่ เซนต์ แมร์รี่ สเตเดียม (เซาแธมป์ตัน), ลอนดอน สเตเดียม (เวสต์แฮม), เอมิเรตส์ สเตเดียม (อาร์เซน่อล), คิงเพาเวอร์ สเตเดียม (เลสเตอร์ ซิตี้), วิลล่า พาร์ค (แอสตัน วิลล่า), เอดิฮัด สเตเดียม (แมนฯ ซิตี้), โอลด์ แทรฟฟอร์ด (แมนฯ ยูไนเต็ด) และเวมบลีย์ เป็นต้น

Photo / AFP

แต่บรรดาทีมโซนครึ่งล่างของตารางจำนวนหนึ่ง ออกอาการคัดค้านอย่างเห็นได้ชัด โดยให้เหตุผลว่า หากอดเล่นในบ้านตัวเอง อาจทำให้ความได้เปรียบของการเล่นในถิ่นหายไป และอาจกระทบถึงการลุ้นหนีตกชั้นได้เลย

โดยจากการประชุมเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ยังคงไม่ได้ข้อสรุปในประเด็นสนามแข่งขัน ซึ่งจากทั้งหมด 20 ทีม มีรายงานว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่งอยากที่จะเตะในบ้านของตัวเองตามโปรแกรมเดิมมากกว่า ทำให้พรีเมียร์ลีกจะสอบถามไปยังรัฐบาลให้ทบทวนเกี่ยวกับแนวคิดสนามกลางอีกครั้ง เพื่อขออนุญาตให้แต่ละทีมแข่งขันในสนามตัวเองได้

ขนาด บุนเดสลีก้า เยอรมนี ที่เตรียมฟาดแข้งต่อในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ยังกลับมาแข่งขันในบ้านของแต่ละทีมได้ภายใต้การแข่งขันแบบปิด ทำไมพรีเมียร์ลีกถึงทำแบบนั้นบ้างไม่ได้?

แม้การประชุมหนล่าสุดของพรีเมียร์ลีก จะยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งเรื่องสนาม กำหนดการวันแข่งขันต่อ แต่สิ่งที่คืบหน้าจากการประชุมในวันจันทร์คือ ทุกสโมสรต่างเห็นด้วยกับการขยายสัญญานักเตะที่จะหมดลงในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ออกไปจนกว่าฤดูกาลนี้จะสิ้นสุด รวมถึงนักเตะที่ยืมตัวด้วยเช่นกัน แต่จำเป็นต้องตกลงกับตัวนักเตะและสโมสรต้นสังกัดที่แท้จริงก่อน

นอกจากนี้ เรื่องสุขภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ไบรตัน แถลงว่าพบนักเตะป่วยโควิด-19 เป็นรายที่ 3 ของสโมสร และจะต้องทำการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

ซึ่งข่าวการพบนักเตะพรีเมียร์ลีกติดไวรัสนี้ ทำให้ ท็อด แคนท์เวลล์ มิดฟิลด์ฟอร์มเด่นของนอริช ซิตี้ ที่ถึงกับโพสต์ทวิตเตอร์ว่า “พวกเราก็เป็นคนเหมือนกันนะ” แสดงถึงความกังวลใจของเขา ที่ต้องการให้มีความแน่ชัดสำหรับมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพเสียที

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องเกิดการปะทะและสัมผัสกัน บางคนวิ่งเหนื่อยๆ รู้สึกเหนียวคอก็ถ่มน้ำลายในสนาม หากต้องลงเล่นท่ามกลางความหวาดระแวงว่านักเตะในสนามคนอื่นๆ จะมีเชื้อไวรัสหรือเปล่า คงเครียดและหมดสนุกพอดี นักฟุตบอลที่ยังหนุ่มแน่นและร่างกายแข็งแรง คงไม่ได้กังวลแค่สุขภาพตัวเอง แต่ห่วงคนรอบข้างมากกว่า เพราะคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ หากตัวเองเป็นพาหะนำเชื้อไปแพร่สู่คนอื่น

Photo : Reuters

เบื้องต้นมีรายงานว่า พรีเมียร์ลีกวางแผนตรวจหาเชื้อไวรัสในนักเตะและทีมงานทุกคนอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ภายใต้การรับรองของสาธารณสุขอังกฤษ ส่วนมาตรการเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ จะมีหารือกันต่อไปในสัปดาห์นี้

โดยวันที่ 18 พฤษภาคม เป็นวันประชุมเคาะแนวทางปิดซีซั่นครั้งถัดไป และเป็นวันที่คาดว่านักเตะจะสามารถกลับมาซ้อมร่วมกันกับสโมสรต้นสังกัดได้อีกครั้ง แต่ยังคงเป็นการแบ่งกลุ่มตามมาตรการเว้นระยะห่าง ในขณะที่วันเริ่มแข่งขันต่อ ปัจจุบันเล็งไว้ในวันที่ 12 มิถุนายน

มาตรการทุกอย่างต้องได้บทสรุปก่อนวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ สหพันธ์ฟุตบอลุโรป (ยูฟ่า) ขีดเส้นให้ลีกต่างๆ ในยุโรปส่งแผนและกำหนดการปิดซีซั่น 2019-20 เพราะอีก 2 วันให้หลังนับจากนั้น ยูฟ่าจะประกาศแผนเกี่ยวกับแนวทางของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกและยูฟ่า ยูโรป้าลีกนับจากนี้ รวมถึงตั๋วลุยยุโรปของสโมสรต่างๆ ในฤดูกาลหน้า

สำหรับตารางคะแนนปัจจุบันของพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลนำโด่งเป็นจ่าฝูงมี 82 แต้มจาก 29 นัด ทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ทีมอันดับ 2 ที่เตะน้อยกว่า 1 นัดมากถึง 25 แต้ม โดยหงส์แดงขออีก 6 คะแนน หรือพูดง่ายๆ ขอชนะอีก 2 จาก 9 นัดสุดท้าย พวกเขาก็จะซิวแชมป์ลีกรอบ 30 ปีไปนอนกอดสมใจ

คอบอลอังกฤษอดใจรอกันอีกนิด โอกาสได้ดูพรีเมียร์ลีกกันต่อนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เหล่าเดอะค็อปก็เช่นกัน ทีมรักของคุณได้ชูถ้วยแน่ๆ แค่รอเวลาว่าเมื่อไหร่ก็เท่านั้น วางแผนฉลองกันได้เลย แต่อย่าลืมเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยล่ะ!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image